“ตากระตุก”แค่ดวงไม่ดี ? หรือเป็นสัญญาณเตือนต้องรีบพบแพทย์

     “ตากระตุก” อาจดูเป็นเรื่องเล็กที่หลายคนมองว่าเป็นเพียงความเชื่อเรื่องโชคลาง หรือผลจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ แต่รู้หรือไม่ว่า… อาการนี้อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพบางอย่างที่ไม่ควรมองข้าม 

สารบัญบทความ

    ตากระตุก คืออะไร?

         ตากระตุก (Eyelid Twitching) คือ ภาวะที่กล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตาหดตัวผิดปกติ ซึ่งสามารถเกิดได้ทั้งที่เปลือกตาบนและล่าง โดยทั่วไปมักไม่รุนแรง และอาการมักเป็นแค่ชั่วคราว แต่ในบางกรณีอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาปิด ลืมตาไม่ขึ้น ซึ่งควรเข้ารับการตรวจเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัด 

    สาเหตุของอาการ “ตากระตุก”

         อาการตากระตุกอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยมักเกิดขึ้นจากปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ดังนี้ 

    • พักผ่อนไม่เพียงพอ 
    • ความเครียดสะสม 
    • ความวิตกกังวล 
    • อาการตาล้า หรือใช้สายตามากเกินไป 
    • แสงสว่าง แสงจ้า 
    • เกิดการระคายเคืองที่เปลือกตาด้านใน 
    • ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป 
    • การดื่มแอลกอฮอล์ 
    • การสูบบุหรี่ 
    • ลมหรือมลพิษทางอากาศ 
    • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด 
    • การขาดวิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารบางชนิด 
    • โรคทางระบบประสาท 

    ตากระตุกหายได้เองไหม อาการแบบไหนควรพบแพทย์

         โดยทั่วไปอาการตากระตุกที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและไม่รุนแรง อาจดีขึ้นเมื่อพักผ่อนเพียงพอ แต่ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพบจักษุแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม 

    • มีอาการตากระตุกติดต่อกันนาน 1-2 สัปดาห์ 
    • มีอาการกระตุกแรงจนเปลือกตาปิดลงมาเอง โดยไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้รบกวนการมองเห็น 
    • มีกล้ามเนื้อใบหน้ากระตุกร่วมด้วย 

    ตากระตุก…อาจไม่ใช่แค่พักผ่อนไม่พอ แต่อาจบอกถึงโรคอื่นได้

         หากอาการตากระตุกเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หรือมีอาการรุนแรงเพิ่มขึ้น อาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ อาทิเช่น 

    • โรคกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (Dystonia) 
    • โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s Disorder) 
    • โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’s Palsy) 
    • โรคกล้ามเนื้อใบหน้าบิดเกร็ง (Facial Dystonia) 
    • โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple Sclerosis) 
    • โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) 

    การวินิจฉัยอาการตากระตุก

         เมื่อเข้าพบแพทย์ แพทย์จะสอบถามประวัติอาการและพฤติกรรมสุขภาพ เพื่อประเมินอาการเบื้องต้น เช่น 

    • ระยะเวลาที่มีอาการ 
    • ความถี่ของการกระตุก 
    • อาการร่วมอื่น เช่น กล้ามเนื้อใบหน้ากระตุก มุมปากกระตุก หรือการมองเห็นผิดปกติ 
    • การใช้สายตา ความเครียด การนอนหลับ และการดื่มคาเฟอีน 

         หากมีความจำเป็นแพทย์อาจแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติม เพื่อวินิจฉัยอาการได้อย่างแม่นยำ เช่น 

    • ตรวจระดับเกลือแร่และวิตามินในเลือด 
    • ตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) 
    • ตรวจสมองด้วย MRI หรือ CT Scan หากสงสัยโรคทางระบบประสาท 

    ตากระตุก รักษาได้ อย่าปล่อยไว้จนกลายเป็นเรื่องใหญ่

         หากมีอาการตากระตุกและดูแลตัวเองเบื้องต้นแล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งแพทย์จะพิจารณาการรักษาตามอาการ ความรุนแรง และดุลยพินิจทางการแพทย์ 

    • การรักษาด้วยการใช้ยา ตามคำแนะนำของแพทย์ 

    ช่วยบรรเทาอาการและหยุดอาการตากระตุกชั่วคราว เช่น ยาลอราซีแพม (Lorazepam) ยาไตรเฮกซีเฟนิดิล (Trihexyphenidyl) และยาโคลนาซีแพม (Clonazepam)  

    • การฉีดโปรแกรม Botulinum Toxin หรือ Botox 

    แพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ลงบริเวณกล้ามเนื้อรอบดวงตาที่มีอาการกระตุก เพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวชั่วคราว ไม่สามารถหดเกร็งตัวได้ และช่วยป้องกันไม่ให้เส้นประสาทส่งสัญญาณไปที่กล้ามเนื้อทำให้เกิดการกระตุก แต่อย่างไรก็ตามผลของโบท็อกซ์จะอยู่ได้เพียง 3-6 เดือน และอาจต้องกลับมาฉีดซ้ำหากอาการกลับมาเป็นอีก 

    • การผ่าตัด 

    ในกรณีที่มีอาการรุนแรง และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แพทย์อาจพิจารณาทำการผ่าตัดกำจัดกล้ามเนื้อที่ทำงานหนักเกินไปบางส่วนรอบเปลือกตา เพื่อบรรเทาอาการกระตุกอย่างถาวร 

    การดูแลตัวเองไม่ให้เกิดอาการตากระตุก

         การดูแลและป้องกันอาการตากระตุกสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อบริเวณเปลือกตา ดังนี้ 

    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 
    • ควรพักสายตาทุก 20 นาที เมื่อต้องทำงานหน้าจอ 
    • หลีกเลี่ยงการใช้สายตาในที่มืด หรือแสงจ้าเกินไป 
    • ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น โยคะ ออกกำลังกาย 
    • ลดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 
    • งดการสูบบุหรี่ 
    • ประคบร้อนรอบดวงตาเบา ๆ เป็นเวลา 5-10 นาที 
    • หากเกิดอาการตาแห้งหรือระคายเคือง สามารถใช้น้ำตาเทียมเพื่อบรรเทาอาการได้ 

    สรุป

         แม้ว่าอาการตากระตุกจะเป็นภาวะที่ไม่รุนแรง และหายได้เอง แต่หากเกิดบ่อยขึ้น รุนแรงขึ้น เริ่มมีอาการที่ผิดปกติจากตากระตุก ควรพบจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนและรับการดูแลอย่างเหมาะสม เพราะบางครั้งอาการเล็ก ๆ เหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม 

         หากคุณมีอาการตากระตุกเรื้อรังหรือรุนแรง อย่าปล่อยให้อาการเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคุณ 

    📍เข้ารับการปรึกษาจักษุแพทย์ได้ที่ โรงพยาบาลจักษุ อินซ์ 

    📆 เปิดบริการทุกวัน 08.00-20.00 น.  

    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือทำนัด 

    Facebook : InZ eye hospital โรงพยาบาลเฉพาะทางจักษุ อินซ์ 

    Line : @inzhospital → inZ Hospital