ตาพร่ามัวมีสาเหตุจากอะไร? แล้วมีอาการอย่างไรบ้าง?

ตาพร่ามัว เป็นภาวะที่ทำให้สายตามัว มองเห็นไม่ชัด หรือมีอาการคือเห็นภาพเบลอ ๆ สามารถพบได้ทั่วไปในคนทุกเพศทุกวัย ตาพร่ามัวมีทั้งแบบที่เกิดขึ้นชั่วคราวและแบบที่เกิดขึ้นถาวร ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แตกต่างกัน เช่น ตาแห้ง ปัญหาสายตา โรคทางตา ทั้งนี้ ตาพร่ามัวอาจเกิดขึ้นในดวงตาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียวหรือเกิดขึ้นในดวงตาทั้ง 2 ข้างก็ได้ แต่อันตรายที่ควรระวังไว้คือตาพร่ามัวเฉียบพลัน

สารบัญบทความ

    ตาพร่ามัวคืออะไร?

    ตาพร่า มองไม่ชัด

    ตาพร่ามัวหรือตามัว (Blurred Vision) คือ การที่สายตาพร่ามัว ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ไม่คม เห็นภาพมีความเบลอหรือเลือนราง อาจเป็นการเห็นภาพเบลอแค่บางส่วนหรือทั้งหมด หากเป็นหนักมาก ๆ อาจส่งผลให้สูญเสียการมองเห็น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้สายตาพร่ามัวมีหลากหลายประการ สาเหตุที่แตกต่างกันทำให้ตาพร่ามัวมีทั้งแบบชั่วคราว หรือตาพร่ามัวตลอดเวลาแบบถาวร หากสาเหตุที่ทำให้ตาพร่ามัวเกิดขึ้นในดวงตาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว ก็จะทำให้สายตาพร่ามัวข้างเดียว แต่ถ้าหากเกิดขึ้นในดวงตาทั้ง 2 ข้าง ก็จะทำให้สายตาพร่ามัวในดวงตาทั้งคู่

    สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว 

    สายตาพร่ามัวเกิดจากสาเหตุหลายประการ อาจเป็นสาเหตุที่เกี่ยวกับดวงตาโดยตรง เช่น ปัญหาสายตา โรคตา หรือการเกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับดวงตา หรือสาเหตุที่เกิดจากโรคทางกายอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวานหรือโรคความดันโลหิตสูง ทั้งนี้ หากสาเหตุที่ทำให้ตาพร่ามัวเกิดขึ้นในดวงตาข้างใดข้างหนึ่งแค่ข้างเดียว ก็สามารถทำให้ตาพร่ามัวหรือตาเบลอมองไม่ชัดข้างเดียว แต่หากเกิดขึ้นในดวงตาทั้งคู่ก็จะทำให้ตาพร่ามัวทั้ง 2 ข้าง ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัวมีดังนี้

    • ตาแห้ง เกิดจากการที่ดวงตามีความชุ่มชื้นไม่เพียงพอ หากกระพริบตาหรือขยี้ตาเบา ๆ อาจจะรู้สึกดีขึ้น แต่แนะนำว่าให้แก้ไขโดยการหยอดน้ำตาเทียมจะดีกว่า 
    • ตาล้า เกิดจากการทำกิจกรรมที่ใช้สายตามาก ๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานโดยไม่พักสายตา สามารถทำให้ปวดตาและตาพร่ามัวได้
    • ปัญหาสายตา ได้แก่ สายตาสั้น สายตายาว (ทั้งสายตายาวโดยกำเนิดและสายตายาวตามวัย) รวมถึงสายตาเอียง ซึ่งจะทำให้ดวงตามองเห็นภาพเบลอ เวลามองภาพจะไม่โฟกัส และเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาพร่ามัวถาวร
    • โรคตา เช่น
      • โรคต้อ ได้แก่ โรคต้อกระจกและโรคต้อหิน 
      • โรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตา เช่น โรคจอประสาทตาเสื่อมและโรคจอประสาทตาลอก 
      • โรคเยื่อบุตาอักเสบ หรือ โรคตาแดง อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น โรคกระจกตาอักเสบ
      • โรคเส้นเลือดจอประสาทตาอุดตัน ทำให้เกิดภาวะตาพร่ามัวข้างเดียวแบบเฉียบพลัน
      • โรคเส้นประสาทตาอักเสบ ทำให้เกิดภาวะตาพร่ามัวแบบเฉียบพลัน
    • โรคทางกายอื่น ๆ เช่น
      • โรคเบาหวาน ทำให้เกิดภาวะเบาหวานขึ้นตา
      • โรคความดันโลหิตสูง
      • โรคหลอดเลือดในสมองแตก
      • โรคไมเกรน
      • โรคพาร์กินสัน
      • โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือโรคเอ็มเอส (MS)
      • เนื้องอกในสมอง
      • ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว
      • ครรภ์เป็นพิษ
    • การผ่าตัดดวงตาหรือได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา เช่น การทำเลสิก กระจกตามีรอยขีดข่วน กระจกตาถลอก ดวงตาเป็นแผล ดวงตาติดเชื้อ ซึ่งมักพบได้บ่อยจากอุบัติเหตุ
    • มีสิ่งแปลกปลอมหรือสารเคมีเข้าไปในดวงตา 
    • การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ส่งผลให้สมองส่วนที่ควบคุมระบบประสาทซึ่งช่วยในการมองเห็นได้รับความกระทบกระเทือน นอกจากจะมีอาการตาพร่ามัวแล้ว ยังจะมีอาการเวียนหัวหรือปวดศีรษะร่วมด้วย
    • การใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่สะอาด การใส่คอนแทคเลนส์ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเกินไป การใส่คอนแทคเลนส์ที่หมดอายุ
    • การใช้ยาหยอดตา รับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์

    อาการตาพร่ามัวมีอะไรบ้าง?

    แน่นอนว่าอาการของตาพร่ามัวคือมีสายตาพร่ามัว มองเห็นภาพไม่ชัด มองเห็นภาพเบลอหรือเลือนราง แต่นอกจากอาการเหล่านี้ ตาพร่ามัวยังมีอาการอื่น ๆ อีก ได้แก่

    • เห็นภาพเหมือนมีหมอกขาว ๆ มาบัง อาจเริ่มจากมองเห็นเป็นหมอกเพียงเล็กน้อยไปจนถึงหมอกหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่ตรงข้าม ซึ่งเป็นอาการตาพร่ามัวที่เกิดจากโรคต้อกระจก
    • มีจุดดำมาบดบังภาพ เห็นเส้นสีขาวคล้ายหยากไย่ลอยไปมา เห็นแสงวาบคล้ายแสงแฟลช เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นภาพมีสีผิดเพี้ยน ซึ่งเป็นอาการตาพร่ามัวซึ่งเกิดจากโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตา
    • เห็นภาพซ้อน เห็นภาพเหลื่อมกัน
    • มองเห็นแสงไฟฟุ้ง แตกเป็นเส้น เห็นแสงสะท้อน
    • มองเห็นคนที่ใบหน้ามีสิว จุดด่างดำ หรือริ้วรอย เป็นใบหน้าที่เรียบเนียน
    • ทัศนวิสัยในการมองเห็นแคบลง สังเกตได้จากมีการเดินชนสิ่งของต่าง ๆ หรือขับรถชนข้างทาง
    • แสบตา เคืองตา คันตา ไม่สบายตา ปวดตา ตาแพ้แสงหรือตาไม่สู้แสง
    • มีขี้ตาหรือน้ำตาไหลมากผิดปกติ
    • เส้นเลือดฝอยในตาแตก

    ตาพร่ามัวแบบไหนต้องรีบพบแพทย์

    บางสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว หากปล่อยทิ้งไว้จนรักษาไม่ทัน ก็สามารถทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ เช่น โรคต้อกระจก ในขณะที่อาการตาพร่ามัวบางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณของโรคที่อันตรายถึงชีวิต เช่น โรคเส้นเลือดในสมองแตก ดังนั้น หากมีอาการตาพร่ามัวร่วมกับอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์

    • ตาพร่ามัวจนทำให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างยากลำบาก เช่น อ่านหนังสือไม่ได้ แยกแยะใบหน้าบุคคลไม่ออก ต้องใช้มือช่วยคลำหาสิ่งของ
    • ตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง 
    • ตาดำเริ่มมีสีขาวขุ่น
    • เจ็บตา ปวดตา ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
    • สูญเสียการทรงตัว ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดติดขัด ออกเสียงลำบาก ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันของโรคเส้นเลือดในสมองแตก โดยจะเกิดร่วมกับอาการตาพร่ามัว
    • การมองเห็นผิดปกติ สูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด 

    ปัญหาตาพร่ามัวมีโอกาสเสี่ยงโรคตาอะไรบ้าง?

    โรคต้อกระจก
    ขอบคุณรูปภาพจาก : www.aao.org

    จากที่กล่าวไปในข้างต้น มีโรคทางตามากมายที่เป็นสาเหตุซึ่งทำให้ตาพร่ามัว ดังนั้น หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง ตาพร่ามัวก็เป็นสัญญาณเตือนความเสี่ยงของโรคทางตาต่าง ๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น

    จอประสาทตาเสื่อม

    จอประสาทตาเสื่อม (Age-Related Macular Degeneration : AMD) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของจุดรับภาพบริเวณกึ่งกลางจอประสาทตา ทำให้ภาพที่เห็นมีจุดดำกินพื้นที่เป็นวงอยู่บริเวณกลางภาพ โดยจอประสาทตาเสื่อมแบ่งออกเป็นจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง (Dry AMD) ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับดวงตาทีละข้าง และจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก (Wet AMD) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็น

    นอกจากอาการตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัดแล้ว ผู้ที่ป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมยังมีอาการอื่น ๆ เช่น มองเห็นภาพบิดเบี้ยว มองเห็นสีผิดเพี้ยน มองเห็นจุดดำกินเป็นวงบริเวณกึ่งกลางของภาพ มองเห็นไม่ชัดในที่ที่มีแสงสว่างจ้า 

    จอประสาทตาลอก

    จอประสาทตาลอก (Retinal Detachment) เป็นโรคที่เกิดจากวุ้นในตาเสื่อม ทำให้จอประสาทตาฉีกขาด จนเกิดเป็นจอประสาทตาลอกตามมา เมื่อจอประสาทตาลอก จะทำให้ส่วนที่จอประสาทตาขาดหายไปไม่สามารถรับแสงและส่งสัญญาณไปยังสมอง เพื่อให้สมองแปลผลออกมาเป็นภาพที่เราเห็นได้ เราจึงมองไม่เห็นภาพในส่วนนั้น

    นอกจากอาการตาพร่ามัว มองเห็นภาพซ้อน ผู้ที่ป่วยเป็นโรคจอประสาทตาลอกยังมีอาการอื่น ๆ เช่น มองเห็นแสงสว่างวาบคล้ายแสงแฟลช มองเห็นจุดหรือเส้นสีดำคล้ายหยากไย่อยู่บนดวงตา มองเห็นเป็นเงาดำที่ลานสายตา มองเห็นภาพคล้ายมีหมอกมาบังตา มองเห็นภาพบิดเบี้ยวหรือคดงอ

    ต้อหิน

    ต้อหิน (Glaucoma) เป็นโรคที่เกิดจากความดันในลูกตาสูงขึ้น ทำให้มีการทำลายขั้วประสาทตา นำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดอย่างถาวร ซึ่งต้อหินแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่ ต้อหินกรรมพันธุ์หรือตั้งแต่กำเนิด (Congenital Glaucoma) ต้อหินมุมเปิด (Open-angle Glaucoma) ต้อหินมุมปิด (Angle-closure Glaucoma) และต้อหินชนิดแทรกซ้อน (Secondary Glaucoma)

    นอกจากอาการตาพร่ามัวแล้ว ผู้ที่ป่วยเป็นโรคต้อหินมุมปิดยังมีอาการอื่น ๆ เช่น ตาแดง ปวดตาอย่างรุนแรง ตาไม่สู้แสง รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน 

    ต้อกระจก

    ต้อกระจก (Cataract) เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของเลนส์แก้วตา โดยเลนส์แก้วตาจะมีลักษณะขุ่นมัว ทำให้แสงไม่สามารถส่องผ่านไปได้ 

    นอกจากอาการตาพร่ามัว เหมือนมีหมอกควันบดบังแล้ว ผู้ที่ป่วยเป็นโรคต้อกระจกยังมีอาการอื่น ๆ เช่น มองเห็นภาพซ้อน มองเห็นสีผิดเพี้ยน มองเห็นแสงไฟกระจาย ความสามารถในการมองเห็นตอนกลางคืนลดลง

    เยื่อบุตาอักเสบ

    เยื่อบุตาอักเสบ (Conjuctivitis) หรือโรคตาแดง เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตา มีลักษณะเป็นเนื้อเยื่อบาง ๆ สีใสหรือไม่มีสี บุอยู่ด้านในของเปลือกตาและปกคลุมส่วนของตาขาว เมื่อเยื่อบุตาอักเสบจะทำให้บริเวณตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนจนถึงแดงจัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการอักเสบ

    ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเยื่อบุตาอักเสบจะมีอาการเยื่อบุตาขาวเปลี่ยนเป็นสีแดง เยื่อบุตาบวม เคืองตา รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตา น้ำตาไหลมากผิดปกติ มีขี้ตาเหลืองและเหนียว รวมถึงตาพร่ามัวและตาแพ้แสง

    วิธีการรักษาอาการตาพร่ามัว

    โดยปกติแล้ว หากสายตาพร่ามัวก็จะมีวิธีแก้โดยการใช้ยาหยอดตา การรับประทานยา การใช้แสงเลเซอร์ รวมถึงการผ่าตัด ทั้งนี้ วิธีรักษาอาการตาพร่ามัวสามารถทำได้โดยการแก้ที่สาเหตุซึ่งทำให้ตาพร่ามัว ตัวอย่างเช่น

    หากตาพร่ามัวมีสาเหตุมาจากตาแห้ง ก็จะสามารถแก้ได้ด้วยการหยอดน้ำตาเทียม แต่หากมีสาเหตุมาจากตาล้าเพราะใช้สายตาอย่างหนัก ก็ควรแก้ด้วยการพักสายตา

    หากตาพร่ามัวมีสาเหตุมาจากปัญหาสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาวโดยกำเนิด สายตาเอียง ก็จะสามารถแก้ได้ด้วยการใส่แว่นตา ใส่คอนแทคเลนส์ หรือการทำเลสิก แต่หากมีสาเหตุมาจากสายตายาวตามวัย ก็จะสามารถแก้ได้ด้วยการทำ Monovision

    หากตาพร่ามัวมีสาเหตุมาจากโรคต้อกระจก ก็จะสามารถแก้ได้ด้วยการผ่าตัดนำเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออก แล้วใส่เลนส์แก้วตาเทียมเข้าไปแทน แต่หากมีสาเหตุมาจากโรคต้อหิน ก็จะอาจแก้ด้วยการหยอดยาเพื่อลดความดันในลูกตาหรือการผ่าตัดเพื่อระบายน้ำในลูกตาออก

    หากตาพร่ามัวมีสาเหตุมาจากโรคจอประสาทตาลอก ในระยะที่มีเพียงแค่รูหรือรอยฉีกขาด ก็จะสามารถแก้ได้ด้วยการใช้แสงเลเซอร์หรือการจี้ด้วยความเย็น แต่หากอยู่ในระยะที่จอประสาทตาหลุดลอกแล้ว ก็จะต้องแก้ด้วยการฉีดแก๊สหรือการผ่าตัด

    หากตาพร่ามัวมีสาเหตุมาจากโรคทางกายอื่น ๆ ก็จะสามารถแก้ได้ด้วยการรักษาโรคนั้น ๆ

    ทั้งนี้ สาเหตุของอาการตาพร่ามัวจะถูกวินิจฉัยโดยจักษุแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบการมองเห็น การตรวจสุขภาพตา ถ้าจำเป็นก็อาจมีการตรวจเลือด หรือการตรวจทางร่างกายอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนั้นหากรู้สึกว่าตาพร่ามัว ควรไปพบจักษุแพทย์ที่โรงพยาบาลเพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุ และแนะนำวิธีการรักษาที่ถูกต้อง

    การทดสอบอาการตาพร่ามัวเบื้องต้น

    วิธีการทดสอบอาการตาพร่ามัวเบื้องต้น สามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้านง่าย ๆ ดังนี้

    1. ผู้ทดสอบและผู้เข้ารับการทดสอบยืนห่างกัน 3 เมตร
    2. ผู้เข้ารับการทดสอบใช้มือปิดตาข้างหนึ่ง
    3. ผู้ทดสอบยกมือขึ้นแล้วชูนิ้วให้ผู้เข้ารับการทดสอบดู
    4. ผู้ทดสอบถามผู้เข้ารับการทดสอบว่าเห็นกี่นิ้ว
    5. ผู้เข้ารับการทดสอบใช้ดวงตาข้างเดียวในการมอง แล้วตอบว่าเห็นกี่นิ้ว
    6. ผู้ทดสอบลองเปลี่ยนจำนวนนิ้วที่ชูไปเรื่อย ๆ แล้วถามให้ผู้เข้ารับการทดสอบตอบอีกครั้ง
    7. สลับไปทดสอบกับดวงตาอีกข้าง

    *หากผลออกมาว่าผู้เข้ารับการทดสอบตอบไม่ได้หรือตอบผิด แสดงว่าผู้เข้ารับการทดสอบมีอาการตาพร่ามัวมาก ควรรีบไปพบจักษุแพทย์

    การดูแลตนเองเพื่อป้องกันอาการตาพร่ามัว

    วิธีการป้องกันอาการตาพร่ามัว สามารถทำได้ด้วยการป้องกันสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว เช่น หากเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน ก็ต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงหรือต่ำเกินไป แต่หากเป็นผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงก็ต้องควบคุมระดับความดันให้อยู่ในเกณฑ์

    ทั้งนี้ เรายังสามารถใช้วิธีการดูแลรักษาและถนอมดวงตาที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการตาพร่ามัวได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การหยอดน้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ดวงตา ป้องกันไม่ให้ตาแห้ง การไม่ใช้สายตาอย่างหนักติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ควบคู่กับการพักสายตาเพื่อป้องกันอาการตาล้า การสวมแว่นกันแดดเพื่อปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต้อกระจก เป็นต้น

    นอกจากนี้ การไปตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี ก็จะช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าดวงตาไม่มีความผิดปกติใด ๆ แต่หากพบความผิดปกติ การพบตั้งแต่ในระยะเริ่มแรกก็จะช่วยให้รักษาได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มโอกาสในการหายให้สูงขึ้น

    FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตาพร่ามัว

    ตาพร่ามัว ปล่อยไว้อันตรายหรือไม่

    ตาพร่ามัวสามารถเกิดจากโรคต้อกระจกหรือโรคต้อหิน ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ก็อาจเป็นอันตรายถึงขั้นทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

    ตาพร่ามัว มีโอกาสเป็นโรคทางกายอื่น ๆ นอกจากโรคตาหรือไม่

    ตาพร่ามัวเป็นหนึ่งในอาการของโรคทางกายมากมาย ไม่ใช่เพียงแค่โรคตา เช่น โรคเส้นเลือดในสมองแตกหรือภาวะครรภ์เป็นพิษ

    ทำไมอายุมากขึ้นแล้วถึงมีอาการตาพร่ามัว

    เมื่อมีอายุ 40 ปี ก็อาจมีอาการตาพร่ามัวจากภาวะสายตายาวตามวัยที่ทำให้มองเห็นไม่ชัด แต่เมื่อมีอายุ 50 ปี ก็อาจมีอาการตาพร่ามัวจากโรคจอประสาทตาเสื่อมได้

    สรุปปัญหาสายตาพร่ามัว

    ตาพร่ามัวถือเป็นอาการเบื้องต้นของโรคทางตาแทบทุกโรค ซึ่งการที่ตาพร่ามัว มองไม่ชัด เกิดจากสาเหตุมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสายตาที่พบได้ทั่วไป เช่น สายตาสั้น ที่ทำให้ตาพร่ามัวและมองไกล ๆ ไม่ชัด หรือแม้กระทั่งการเล่นโทรศัพท์มากเกินไปก็ทำให้ตาพร่ามัวได้ โดยวิธีการรักษาและป้องกันสายตาพร่ามัว สามารถทำได้โดยการแก้ไขที่สาเหตุซึ่งทำให้เกิดอาการตาพร่ามัว ทั้งนี้ ตาพร่ามัวยังเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงโรคที่มีความอันตรายซึ่งอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นถาวร อย่างโรคต้อกระจกและโรคต้อหิน ผู้ที่มีอาการตาพร่ามัวจึงไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ แต่ควรไปพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาต่อไป

    เอกสารอ้างอิง

    Blurred vision. (2021, July). Healthdirect.
    https://www.healthdirect.gov.au/blurred-vision#:~:text=Blurred%20vision%20can%20be%20caused,to%20focus%20as%20you%20age)