โรคต้อหิน เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร หากตรวจพบเร็วสามารถชะลอความรุนแรงได้ การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงของต้อหินจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโรคนี้มักไม่มีสัญญาณเตือนในระยะแรก หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการตรวจตาโดยละเอียด
ต้อหิน มีสาเหตุมาจากอะไร?
ต้อหิน เกิดจากการเสื่อมของขั้วประสาทตา ซึ่งมักสัมพันธ์กับภาวะความดันลูกตาที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร โดยทั่วไปแล้ว ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อหิน ได้แก่
- ความดันลูกตาสูงเกินปกติ: ความดันในลูกตาที่สูงขึ้นทำให้เกิดแรงกดทับเส้นประสาทตา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของต้อหิน
- ปัจจัยทางพันธุกรรม: หากมีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน ความเสี่ยงของคุณจะสูงขึ้นหลายเท่า เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของดวงตาบางประเภทอาจมีแนวโน้มเกิดต้อหินได้ง่าย
- โรคประจำตัว เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง: โรคเหล่านี้ส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด รวมถึงเส้นเลือดที่เลี้ยงเส้นประสาทตา ทำให้เพิ่มโอกาสเกิดต้อหิน
- การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน: ยาสเตียรอยด์บางชนิด โดยเฉพาะในรูปแบบยาหยอดตา สามารถเพิ่มความดันลูกตาและกระตุ้นให้เกิดต้อหินได้
- อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่ดวงตา: การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงอาจทำให้โครงสร้างภายในลูกตาเปลี่ยนแปลงและนำไปสู่ต้อหิน
- ภาวะสายตาผิดปกติขั้นรุนแรง: ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากผิดปกติ อาจมีโครงสร้างของลูกตาที่ทำให้เกิดต้อหินได้ง่ายขึ้น
การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและเฝ้าระวังอาการของโรคได้ดีขึ้น หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ควรเข้ารับการตรวจตากับจักษุแพทย์เป็นประจำเพื่อป้องกันโรคตั้งแต่ระยะแรก
ใครเสี่ยงเป็นต้อหิน?
กลุ่มที่เสี่ยงเป็นต้อหินมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่:
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป: โอกาสเกิดต้อหินจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน: หากพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้ ความเสี่ยงของคุณจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า เนื่องจากต้อหินบางประเภทมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ส่งต่อได้
- ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากผิดปกติ: ภาวะสายตาผิดปกติอาจส่งผลต่อโครงสร้างของลูกตาและทำให้การระบายน้ำในลูกตาไม่สมดุล ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน
- ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือด: โรคเบาหวานสามารถทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงประสาทตาเสื่อมลง ส่วนโรคความดันโลหิตสูงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังขั้วประสาทตา เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน
- ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน: การใช้ยาสเตียรอยด์ทั้งในรูปแบบยาหยอดตา ยารับประทาน หรือยาฉีด สามารถทำให้ความดันลูกตาเพิ่มขึ้น และหากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะต้อหินที่รุนแรงได้
- ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา: การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดดวงตา อาจทำให้โครงสร้างของดวงตาเปลี่ยนแปลงและเพิ่มโอกาสเกิดต้อหิน
- ผู้ที่มีภาวะไมเกรนเรื้อรังหรือความดันโลหิตต่ำ: ภาวะเหล่านี้อาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดในขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดต้อหินแบบความดันตาปกติ (Normal-Tension Glaucoma)
อาการของต้อหินเป็นอย่างไร อันตรายไหม
โรคต้อหินในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้น อาจมีอาการ ดังนี้โรคต้อหินในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้น อาจมีอาการ ดังนี้
- การมองเห็นแคบลง (เหมือนมองผ่านกล้องส่องทางไกล)
- มองเห็นแสงจ้าเป็นวงรอบๆ
- ปวดตาหรือศีรษะบ่อย ๆ
- ตามัวโดยไม่ทราบสาเหตุ
- สูญเสียการมองเห็นอย่างฉับพลันในบางกรณี
ต้อหิน รักษาได้ไหม
ต้อหินไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและชะลอความรุนแรงของโรคได้หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม แนวทางการรักษาประกอบด้วย
- ยาหยอดตา: ใช้เพื่อลดความดันลูกตาและป้องกันความเสียหายของเส้นประสาทตา
- การรักษาด้วยเลเซอร์: เช่น เลเซอร์ Trabeculoplasty ที่ช่วยเพิ่มการระบายน้ำในลูกตา ลดความดันภายในตา
- การผ่าตัดต้อหิน: กรณีที่การรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดเพื่อลดความดันลูกตาอย่างถาวร
สรุป
ต้อหินเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและชะลอความรุนแรงได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรก ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจตากับจักษุแพทย์เป็นประจำ เพราะหากพบต้อหินตั้งแต่ระยะแรก การรักษาจะช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นและลดความเสี่ยงตาบอดได้