เช็ก! ปัจจัยเสี่ยง”ต้อหิน”รู้เร็ว ลดความเสี่ยง 

     โรคต้อหิน เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร หากตรวจพบเร็วสามารถชะลอความรุนแรงได้ การเข้าใจปัจจัยเสี่ยงของต้อหินจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะโรคนี้มักไม่มีสัญญาณเตือนในระยะแรก หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการตรวจตาโดยละเอียด 

สารบัญบทความ

    ต้อหิน มีสาเหตุมาจากอะไร?

         ต้อหิน เกิดจากการเสื่อมของขั้วประสาทตา ซึ่งมักสัมพันธ์กับภาวะความดันลูกตาที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเส้นประสาทตาและนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร โดยทั่วไปแล้ว ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดต้อหิน ได้แก่ 

    • ความดันลูกตาสูงเกินปกติ: ความดันในลูกตาที่สูงขึ้นทำให้เกิดแรงกดทับเส้นประสาทตา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของต้อหิน 
    • ปัจจัยทางพันธุกรรม: หากมีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน ความเสี่ยงของคุณจะสูงขึ้นหลายเท่า เนื่องจากลักษณะทางกายภาพของดวงตาบางประเภทอาจมีแนวโน้มเกิดต้อหินได้ง่าย 
    • โรคประจำตัว เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง: โรคเหล่านี้ส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด รวมถึงเส้นเลือดที่เลี้ยงเส้นประสาทตา ทำให้เพิ่มโอกาสเกิดต้อหิน 
    • การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นระยะเวลานาน: ยาสเตียรอยด์บางชนิด โดยเฉพาะในรูปแบบยาหยอดตา สามารถเพิ่มความดันลูกตาและกระตุ้นให้เกิดต้อหินได้ 
    • อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่ดวงตา: การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงอาจทำให้โครงสร้างภายในลูกตาเปลี่ยนแปลงและนำไปสู่ต้อหิน 
    • ภาวะสายตาผิดปกติขั้นรุนแรง: ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากผิดปกติ อาจมีโครงสร้างของลูกตาที่ทำให้เกิดต้อหินได้ง่ายขึ้น 

         การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันและเฝ้าระวังอาการของโรคได้ดีขึ้น หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ ควรเข้ารับการตรวจตากับจักษุแพทย์เป็นประจำเพื่อป้องกันโรคตั้งแต่ระยะแรก 

    ใครเสี่ยงเป็นต้อหิน

         กลุ่มที่เสี่ยงเป็นต้อหินมากกว่าคนทั่วไป ได้แก่:

    • ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป: โอกาสเกิดต้อหินจะเพิ่มขึ้นตามอายุ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 
    • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นต้อหิน: หากพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นโรคนี้ ความเสี่ยงของคุณจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า เนื่องจากต้อหินบางประเภทมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ส่งต่อได้ 
    • ผู้ที่มีสายตาสั้นหรือยาวมากผิดปกติ: ภาวะสายตาผิดปกติอาจส่งผลต่อโครงสร้างของลูกตาและทำให้การระบายน้ำในลูกตาไม่สมดุล ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน 
    • ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคหลอดเลือด: โรคเบาหวานสามารถทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงประสาทตาเสื่อมลง ส่วนโรคความดันโลหิตสูงอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังขั้วประสาทตา เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน 
    • ผู้ที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน: การใช้ยาสเตียรอยด์ทั้งในรูปแบบยาหยอดตา ยารับประทาน หรือยาฉีด สามารถทำให้ความดันลูกตาเพิ่มขึ้น และหากใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจนำไปสู่ภาวะต้อหินที่รุนแรงได้ 
    • ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา: การกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุหรือการผ่าตัดดวงตา อาจทำให้โครงสร้างของดวงตาเปลี่ยนแปลงและเพิ่มโอกาสเกิดต้อหิน 
    • ผู้ที่มีภาวะไมเกรนเรื้อรังหรือความดันโลหิตต่ำ: ภาวะเหล่านี้อาจส่งผลต่อการไหลเวียนเลือดในขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดต้อหินแบบความดันตาปกติ (Normal-Tension Glaucoma)

    อาการของต้อหินเป็นอย่างไร อันตรายไหม

         โรคต้อหินในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้น อาจมีอาการ ดังนี้โรคต้อหินในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่ออาการรุนแรงขึ้น อาจมีอาการ ดังนี้

    • การมองเห็นแคบลง (เหมือนมองผ่านกล้องส่องทางไกล) 
    • มองเห็นแสงจ้าเป็นวงรอบๆ 
    • ปวดตาหรือศีรษะบ่อย ๆ 
    • ตามัวโดยไม่ทราบสาเหตุ 
    • สูญเสียการมองเห็นอย่างฉับพลันในบางกรณี 

    ต้อหิน รักษาได้ไหม

         ต้อหินไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและชะลอความรุนแรงของโรคได้หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม แนวทางการรักษาประกอบด้วย 

    • ยาหยอดตา: ใช้เพื่อลดความดันลูกตาและป้องกันความเสียหายของเส้นประสาทตา 
    • การรักษาด้วยเลเซอร์: เช่น เลเซอร์ Trabeculoplasty ที่ช่วยเพิ่มการระบายน้ำในลูกตา ลดความดันภายในตา 
    • การผ่าตัดต้อหิน: กรณีที่การรักษาด้วยยาและเลเซอร์ไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนำการผ่าตัดเพื่อลดความดันลูกตาอย่างถาวร 

    สรุป

         ต้อหินเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมและชะลอความรุนแรงได้ หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมตั้งแต่ระยะแรก ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงควรเข้ารับการตรวจตากับจักษุแพทย์เป็นประจำ เพราะหากพบต้อหินตั้งแต่ระยะแรก การรักษาจะช่วยป้องกันการสูญเสียการมองเห็นและลดความเสี่ยงตาบอดได้