ต้อหินถือเป็นต้อประเภทหนึ่งที่มีความอันตรายอย่างมาก เพราะหากเป็นแล้วจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จะรู้ว่าเป็นก็ต่อเมื่ออยู่ในระยะสุดท้าย หรือเริ่มสูญเสียการมองเห็นแล้ว แม้ว่าต้อหินจะเป็นโรคที่อันตราย แต่ก็มีวิธีการรักษาหลายวิธี เช่น การผ่าตัดต้อหิน ทั้งนี้ การผ่าตัดต้อหินจะเป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้ก็ต่อเมื่อวิธีการรักษาอื่นไม่ได้ผลแล้ว
ทำความรู้จักต้อหิน
ต้อหิน (Glaucoma) เป็นต้อประเภทหนึ่งที่เกิดจากความดันภายในลูกตาสูงขึ้น กดทับทำลายขั้วประสาทตา จนไม่สามารถส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทไปให้สมองแปลผลออกมาเป็นภาพที่เราเห็นได้ เป็นเหตุให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด
หากเป็นโรคต้อหินในระยะแรก ๆ มักไม่มีอาการปรากฏให้เห็น แต่จะพบความผิดปกติได้ก็ต่อเมื่อเริ่มสูญเสียการมองเห็นบางส่วน โดยเริ่มจากบริเวณลานสายตา และหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็จะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นทั้งหมดอย่างถาวร สามารถรักษาด้วยการผ่าตัดต้อหิน และวิธีอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับอาการ และการพิจารณาของแพทย์ มาทำความรู้จักการผ่าต้อหินไปพร้อมกัน
ผ่าตัดต้อหิน คืออะไร
การผ่าตัดต้อหิน (Glaucoma Surgery) คือ วิธีหนึ่งในการลดความดันภายในลูกตา โดยการเปิดช่องทางให้น้ำภายในลูกตาสามารถระบายออกไปสู่เนื้อเยื่อรอบ ๆ ได้ จะช่วยให้ความดันภายในลูกตาลดลง ซึ่งการเปิดช่องทางระบายน้ำสามารถทำได้โดยการเจาะช่องขนาดประมาณ 1 – 1.5 มม. เรียกว่า การผ่าตัดต้อหิน Trabeculectomy หรือใส่อุปกรณ์ระบายน้ำออกจากตาที่มีลักษณะเป็นท่อพิเศษ เรียกว่าวิธี Glaucoma Drainage Device (GDD) ทั้งนี้ 2 วิธีนี้ เป็นเพียงแค่ตัวอย่างของวิธีการผ่าตัดต้อหินที่ได้รับความนิยมเท่านั้น
ผ่าตัดต้อหินแบบ Trabeculectomy
การเจาะรูช่องระบายน้ำภายในลูกตา (Trabeculectomy) คือ การผ่าตัดทำทางระบายน้ำในช่องหน้าม่านตาใหม่ โดยเจาะรูช่องระบายน้ำระหว่างช่องว่างด้านหน้าม่านตาที่เชื่อมต่อกับเยื่อบุตาขาวด้านนอกลูกตา เพื่อระบายน้ำในลูกตาออกไปยังเยื่อบุตาขาว ซึ่งวิธีการผ่าตัดต้อหินวิธีนี้เป็นวิธีมาตรฐานที่พบได้บ่อยที่สุด
ผ่าตัดต้อหินแบบ Aqueous Shunt Surgery
การใส่อุปกรณ์ทางระบายน้ำในลูกตา (Glaucoma Drainage Device or Aqueous Shunt) เป็นการผ่าตัดเพื่อใส่อุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายท่อขนาดเล็ก ซึ่งมีกลไกพิเศษในการควบคุมระดับความดันในลูกตา ให้เกิดเป็นทางระบายน้ำใหม่ที่ช่วยลดความดันภายในลูกตาโดยตรง ซึ่งการผ่าตัดต้อหินใส่ท่อจะใช้เมื่อทำการเจาะรูช่องระบายน้ำภายในลูกตาแล้วลดความดันภายในลูกตาไม่สำเร็จ หรือเป็นผู้ที่มีข้อจำกัดจนไม่สามารถทำการเจาะรูช่องระบายน้ำภายในลูกตาได้
ใครจำเป็นต้องผ่าตัดต้อหิน
การผ่าตัดต้อหิน จำเป็นกับผู้ที่ไม่สามารถควบคุมระดับความดันในลูกตาด้วยการใช้ยาหรือเลเซอร์ได้ ทั้งนี้ ควรเข้ารับการตรวจตากับจักษุแพทย์อย่างละเอียด ประเมินถึงอาการ และความรุนแรง เพื่อที่จะสามารถวางแผนการรักษาหรือเลือกวิธีผ่าต้อหินที่เหมาะสมกับปัจจัยของแต่ละคนมากที่สุด
อาการที่ยังไม่จำเป็นต้องผ่าตัดต้อหิน
จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดต้อหินหรือไม่ ? หากตรวจพบว่า มีความดันในลูกตาสูง แต่เส้นประสาทยังไม่ถูกทำลายหรือถูกทำลายเพียงเล็กน้อย อาจยังไม่จำเป็นต้องรับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดต้อหิน สามารถรักษาด้วยการใช้ยา ควบคุมระดับความดันในลูกตา และยับยั้งไม่ให้อาการพัฒนาความรุนแรง อย่างไรก็ตาม ควรเข้าพบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจประเมินอย่างละเอียด
ใครที่ห้ามผ่าตัดต้อหิน
ผู้ที่จักษุแพทย์มักจะพิจารณาว่าไม่ควรเข้ารับการผ่าตัดต้อหิน ได้แก่
- ผู้ที่ใช้วิธีการรักษาด้วยยาและเลเซอร์แล้วยังสามารถควบคุมความดันภายในลูกตาได้
- ผู้ที่เป็นโรคต้อหินในระยะสุดท้าย ซึ่งสูญเสียการมองเห็นส่วนมากไปแล้ว เพราะการผ่าตัดรักษาอาจไม่ก่อให้เกิดผลเท่าไหร่แล้ว
- ผู้ที่มีความเสี่ยงว่าภายหลังจากเข้ารับการผ่าต้อหินแล้วจะเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานซึ่งควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ผู้ที่มีภาวะไตวาย
- ผู้ที่เป็นโรคตาซึ่งต้องได้รับการรักษาให้หายดีก่อน เช่น โรคตาแห้งรุนแรง โรคที่เกี่ยวกับกระจกตา ตาอักเสบ
ตรวจวินิจฉัย และการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดต้อหิน
หากจำเป็นที่จะต้องทำการผ่าตัดต้อหิน ก่อนเข้ารับการผ่าตัดควรเตรียมตัวตามขั้นตอนดังนี้
- งดรับประทานยาห้ามการแข็งตัวของเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด เช่น Aspirin, Coumadin, Warfarin อย่างน้อย 7 วัน หรือตามคำแนะนำของจักษุแพทย์
- หยอดยาหรือรับประทานยารักษาโรคต้อหินตามปกติจนถึงวันที่มาเข้ารับการผ่าตัด
- หากเป็นการผ่าตัดต้อหินที่ต้องดมยาสลบ ให้งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัด แต่หากไม่ต้องดมยาสลบ ก็ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร
- ล้างหน้าและสระผมให้สะอาดก่อนถึงวันที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด เพราะหลังจากเข้ารับการผ่าต้อหินแล้ว ต้องระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสกับน้ำ
- ในวันที่เข้ารับการผ่าตัดตาต้อหิน ให้งดตกแต่งใบหน้าและงดติดขนตาปลอม
- ในวันที่เข้ารับการผ่าตัดต้อหิน ให้พาญาติหรือผู้ติดตามมาด้วย เพราะภายหลังจากที่เข้ารับการผ่าต้อหินแล้ว จะต้องมีการปิดดวงตาข้างที่ถูกผ่า ก่อให้เกิดความไม่สะดวกในการดูแลตนเองหรือในการเดินทาง
- จักษุแพทย์อาจให้รับประทานยาแก้ปวดหรือยาลดความวิตกกังวลก่อนเข้ารับการผ่าตัดต้อหิน
- อย่าลืมแจ้งให้จักษุแพทย์ทราบถึงโรคประจำตัว และนำยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำมาเพื่อให้จักษุแพทย์ดูว่าสามารถทานได้ตามปกติหรือไม่
ขั้นตอนการผ่าตัดต้อหิน
อย่างที่ได้กล่าวข้างต้นว่า วิธีผ่าตัดต้อหินที่พบได้บ่อยที่สุด คือ การเจาะรูช่องระบายน้ำภายในลูกตา (Trabeculectomy) โดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- หยอดยาให้ม่านตาเล็กลงก่อนเริ่มผ่าต้อหิน
- เจาะรูช่องระบายน้ำระหว่างช่องว่างด้านหน้าม่านตาที่เชื่อมต่อกับเยื่อบุตาขาวด้านนอกลูกตา เพื่อระบายน้ำในลูกตาออกไปยังเยื่อบุตาขาว
- เย็บปิดแผล
อย่างไรก็ตาม ควรเข้าพบจักษุแพทย์ ทำการตรวจตาอย่างละเอียด และประเมินความรุนแรง เพื่อที่จะสามารถรับการักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากในบางรายอาจมีการใส่อุปกรณ์เพิ่มเติม
การดูแลหลังผ่าตัดต้อหิน
การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดต้อหิน มีดังต่อไปนี้
- เมื่อการผ่าตัดต้อหินเสร็จสิ้นแล้ว จักษุแพทย์จะใช้ผ้าปิดตาข้างที่ผ่าไว้จนกว่าจะถึงวันที่นัดพบเพื่อตรวจเช็กและทำความสะอาดแผล
- ห้ามเปิดผ้าปิดตาเอง ถ้าผ้าปิดตาเปียกหรือเลอะให้รีบแจ้งพยาบาลเพื่อทำการเปลี่ยนผ้าปิดตาใหม่
- หลังจากเปิดผ้าปิดตาแล้ว ให้หยอดยาและป้ายยา เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ โดยจะต้องใช้ยาทั้งหมดตามคำสั่งของจักษุแพทย์อย่างเคร่งครัด
- หากมียาหยอดตาเฉพาะที่เพื่อลดความดันภายในลูกตาที่อาจเพิ่มสูงขึ้นในช่วงแรก ก็ต้องหยอดตามระยะเวลาที่กำหนด จนกว่าจักษุแพทย์จะพิจารณาให้หยุดยาได้
- ห้ามให้ดวงตาข้างที่ผ่าตัดต้อหินโดนน้ำหรือฝุ่นละออง ภายหลังจากที่เข้ารับการผ่าต้อหินอย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์
- ใช้แผ่นพลาสติกครอบตาที่ได้รับ ครอบดวงตาข้างที่ผ่าตัดต้อหินขณะนอนหลับ เป็นเวลาอย่างน้อย 1- 2 สัปดาห์
- ห้ามใช้มือสัมผัสดวงตาข้างที่ได้รับการผ่าตัดต้อหิน ไม่ว่าจะเป็นการขยี้ตา การเกา หรือการจับ
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมทุกประเภทที่ต้องออกแรงเบ่งมาก ๆ เช่น การไอ การจาม การสั่งน้ำมูก การยกของหนัก รวมถึงระวังไม่ให้ท้องผูก
- งดการใส่คอนแทคเลนส์และการตกแต่งรอบดวงตาเป็นระยะเวลาตามที่จักษุแพทย์แนะนำ
- พักสายตา งดการทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา เช่น การอ่านหนังสือ การดูโทรทัศน์ การทำงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์
- มาพบจักษุแพทย์ตามที่ได้ทำการนัดหมาย แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น เคืองตามาก เจ็บตามาก ปวดตามาก ตาแดง ตาพร่ามัว ให้รีบมาพบจักษุแพทย์ก่อนถึงวันนัด
อาการแทรกซ้อนที่อาจพบหลังผ่าตัดต้อหิน
แม้ว่าการผ่าตัดต้อหินจะเป็นวิธีการรักษาโรคต้อหินที่ไม่อันตรายและได้ผลดี แต่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัดต้อหินที่ทำให้การมองเห็นแย่ลงได้ ดังนี้
- เกิดลิ่มเลือดขึ้นภายในช่องหน้าลูกตา
- เกิดพังผืดอุดตันที่มุมตาซึ่งเป็นจุดระบายน้ำภายในลูกตา
- ความดันภายในลูกตาสูงผิดปกติ
- ความดันภายในลูกตาต่ำเกินไป
- มีเลือดออกภายในลูกตาขณะที่ผ่าตัดหรือภายหลังการผ่าตัด
- มีอาการของโรคต้อกระจก
- เกิดแผลเป็นบนผิวของลูกตา
- ลิ้นซึ่งเป็นกลไกที่มีหน้าที่เปิด – ปิดของอุปกรณ์ระบายน้ำในลูกตาทำงานได้ไม่ดีหรือไม่ทำงาน อาจต้องมีการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเอาอุปกรณ์เดิมออกหรือใส่อุปกรณ์เข้าไปเพิ่ม
- ความผิดปกติอื่น ๆ เช่น เห็นภาพซ้อน ตาเหล่หรือตาเข สูญเสียการมองเห็นบางส่วนหรือทั้งหมด
FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคผ่าตัดต้อหิน
เป็นต้อหิน แต่ไม่ผ่าตัดต้อหินได้ไหม?
เป็นต้อหิน แต่ไม่ผ่าต้อหินได้ไหม ? กรณีที่เป็นต้อหินระยะเริ่มต้น สามารถดูแลรักษาอาการด้วยวิธีหยอดยา เพื่อลดความดันในลูกตาได้ แต่ในกรณีที่รักษาด้วยการใช้ยาหรือเลเซอร์แล้ว ยังไม่สามารถควบคุมความดันในลูกตาได้ จะต้องรับการรักษาด้วยการผ่าตัด เพราะหากปล่อยไว้ อาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อาจทำให้สูญเสียการมองเห็นได้
นอกจากผ่าตัดต้อหิน มีวิธีรักษาต้อหินแบบอื่นหรือไม่
นอกจากผ่าตัดต้อหินแล้ว ยังมีวิธีรักษาอื่น ๆ เช่น การใช้ยา และการเลเซอร์ เพื่อลดความดันในลูกตา แต่ในผู้ป่วยที่รักษาด้วยสองวิธีดังกล่าวแล้วไม่เห็นผล จะต้องรับการรักษาด้วยวิธีการผ่าต้อหิน
ผ่าตัดต้อหิน อันตรายไหม
ผ่าตัดต้อหินที่ดำเนินการโดยจักษุแพทย์นั้น ปลอดภัย ไม่เป็นอันตราย อีกทั้งการผ่าตัดตาต้อหินยังเป็นการผ่าตัดที่มีแผลขนาดเล็ก หากดูแลตนเองหลังผ่าตัดตามคำสั่งแพทย์ จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือการเกิดอาการแทรกซ้อนได้
หลังผ่าตัดต้อหิน พักฟื้นกี่วัน
ผ่าต้อหิน พักฟื้นกี่วัน ? หลังผ่าตัดต้อหิน ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 7 – 14 วัน โดยแพทย์จะนัดหมายตรวจตา ติตตามอาการ
ข้อสรุปการผ่าตัดต้อหิน
โรคต้อหิน ถือว่าเป็นโรคต้อที่อันตรายซึ่งทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นมากเป็นอันดับ 2 รองจากโรคต้อกระจก แต่ในปัจจุบันก็มีวิธีการรักษาทั้งการใช้ยาและการใช้เลเซอร์ แต่หาก 2 วิธีนี้ไม่ได้ผล ก็จะต้องใช้วิธีการรักษาด้วยการผ่าตัดต้อหิน ซึ่งก็แบ่งออกเป็นอีกหลายวิธี ทั้งนี้ การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยควรที่จะได้รับการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดต้อหินหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของจักษุแพทย์ และแม้ว่าการผ่าต้อหินจะไม่สามารถทำให้การมองเห็นที่เสียไปแล้วกลับคืนมาได้ แต่ก็จะช่วยยับยั้งไม่ให้สูญเสียการมองเห็นไปมากกว่าเดิม จึงควรเข้ารับการผ่าต้อหิน หากจักษุแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความจำเป็น
เอกสารอ้างอิง
Glaucoma Surgery. (2022, January 03). NIH.
https://www.nei.nih.gov/learn-about-eye-health/eye-conditions-and-diseases/glaucoma/glaucoma-surgery