ตาบอดสี (Color Blindness) คืออะไร รักษาได้หรือไม่ มาค้นหาคำตอบ และทดสอบอาการเบื้องต้นไปพร้อมกัน

ในชีวิตประจำวันเราจำเป็นต้องอ้างอิงสีกับสิ่งที่พบเห็น เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง อาการตาบอดสีเป็นอาการของคนที่ไม่สามารถแยกแยะสีได้เหมือนกับคนทั่วไป คนที่มีภาวะตาบอดสีไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดปกติและยังสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป แต่ก็ส่งผลต่อการเรียน และพัฒนาการในการเรียนรู้ในเด็ก เป็นข้อจำกัดในเรื่องของการเลือกคณะที่ต้องเรียน รวมถึงการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ก็ยังมีผลต่อการสอบใบขับขี่ ถ้ามีภาวะตาบอดสีรุนแรงจนไม่สามารถบอกความแตกต่างของสัญญาณไฟจราจรได้อย่างถูกต้อง

ถึงแม้ว่าภาวะตาบอดสี ในปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายเป็นปกติได้ แต่ก็มีวิธีช่วยเพื่อให้ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีสามารถใช้ชีวิตได้สะดวกยิ่งขึ้น 

สารบัญบทความ

    โรคตาบอดสี Color Blindness คืออะไร

    การมองเห็นสี จำเป็นเป็นต้องอาศัยเซลล์รับรู้การเห็นสีที่มีชื่อว่า Photoreceptor ในจอประสาทตา 2 ชนิดเป็นส่วนสำคัญ ในการแยกสี  ได้แก่

    • Rod cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีความไวต่อการรับแสงแบบสลัว ใช้สำหรับการมองเห็นในตอนกลางคืน สีที่มองเห็นจะเป็นโทนสีขาว ดำเท่านั้น
    • อีกชนิดคือ Cone cell เป็นเซลล์ที่มีความไวในการรับแสงที่สว่าง เป็นเซลล์ที่แยกแสงสีได้อย่างชัดเจน โดย Cone cell แบ่งย่อยได้เป็น 3 ชนิด คือ ชนิดที่ไวต่อแสงสีแดง เขียว และน้ำเงิน ในคนปกติจะมีครบทั้ง 3 ชนิด ทำให้สามารถมองเห็นสีได้หลายโทนสี

    ตาบอดสี (Color Blindness) คือภาวะการมองเห็นสีบกพร่อง แยกแยะสีบางสีได้ยาก หรือการมองเห็นบางสีเพี้ยนไปเป็นสีอื่น โดยตาบอดสีเกิดจากความผิดปกติของ Cone cell  ในจอประสาทตา ทำให้ไม่ตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อการแยกแสงสีต่าง ๆ การส่งข้อมูลไปยังสมองเพื่อประมวลผลและแยกแยะสีต่างๆจึงผิดปกติไป

    โดยส่วนใหญ่ตาบอดสีเป็นภาวะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งจะเป็นมาแต่กำเนิด มีผลต่อเพศชายมากกว่าเพศหญิง จึงพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่า จากสถิติพบในเพศชาย 8% และในเพศหญิง ประมาณ 0.5-1% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ภาวะตาบอดสีอาจจะเป็นภายหลังได้เช่นกัน

    ตาบอดสีมีปัจจัย และเกิดจากสาเหตุใด

    โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์การรับรู้สีมีความบกพร่อง และทำให้เกิดภาวะตาบอดสีนั้น เกิดจากปัจจัยเหล่านี้

    1. ตาบอดสีจากกรรมพันธุ์

    พบได้มากที่สุด เป็นภาวะที่เป็นมาแต่กำเนิด ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม X  ถ่ายทอดพันธุกรรมแบบ X-linked recessive จากแม่ไปสู่บุตรชาย จึงส่งผลให้เพศชาย จะมีโอกาสพบตาบอดสีได้มากกว่า  โดยมักจะพบเป็นตาบอดสีเขียวและแดง

    1. ตาบอดสีจากโรคเกี่ยวกับดวงตา

    พบได้ในโรคทางตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม หรือการอักเสบของเส้นประสาทตา ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดตาบอดสีได้ด้วยเช่นเดียวกัน

    1. โรคทางกายอื่น ๆ

    นอกจากโรคทางตาแล้ว โรคเบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ก็สามารถทำให้เกิดภาวะตาบอดสีได้ รวมทั้งผู้ที่ชราภาพ อายุที่มากขึ้นก็ส่งผลให้เซลล์เกิดความเสื่อมสภาพไปตามวัยที่เพิ่มขึ้นด้วย

    1. สาเหตุอื่นๆ ได้แก่ การได้รับสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานาน เช่นสาร styrene ที่มีในโฟมหรือพลาสติก, ผลข้างเคียงจากยา เช่นยารักษาวัณโรค ยากันชัก, การบาดเจ็บที่

    ตาบอดสีมีอาการแบบไหนบ้าง

    อาการตาบอดสี

    อาการของโรคตาบอดสีนั้นจะแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับ โดยเรียงจากน้อยไปมาก โดยอาจจะเป็นแค่บกพร่องในการเห็นสี ไปจนถึงบอดสี ดังนี้

    • ระดับที่หนึ่ง รุนแรงน้อยที่สุด มองเห็นสีแตกแตกต่างจากคนทั่วไป ยังบอกได้ว่าเป็นสีอะไร แต่ความสดของสีน้อยลง
    • ระดับที่สอง รุนแรงปานกลาง มีปัญหาด้านการแยกสีที่ใกล้เคียงกัน เช่น ไม่สามารถแยกระหว่างสีส้มและสีเหลืองได้
    • ระดับที่สาม รุนแรงมากที่สุด มองเห็นสีทุกอย่างเป็นโทนขาวดำ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตมาก

    โดยภาวะตาบอดสีจากกรรมพันธุ์ อาจจะเป็นแบบ พร่องสีแดงหรือบอดสีแดง พร่องสีเขียวหรือบอดสีเขียว ก็ได้ ส่วนภาวะตาบอดสีที่เกิดภายหลัง มักจะมีความบกพร่องในการเห็นสีน้ำเงิน เหลือง ถ้าเป็นความผิดปกติของจอประสาทตา หรือบกพร่องในการเห็นสีแดง เขียว ถ้าเป็นโรคของเส้นประสาทตา ซึ่งความผิดปกติจะแตกต่างจากชนิดที่เป็นแต่กำเนิด เช่น

    • นอกจากเห็นสีผิดปกติไป การมองเห็น และลานสายตามักจะผิดปกติไปด้วย
    • การเห็นสีในตาสองข้างไม่เท่ากัน
    • ผู้ป่วยสามารถบอกได้เลยว่าเห็นสีผิดปกติไป
    • ภาวะตาบอดสีสามารถดีขึ้น หรือแย่ลงได้ ในขณะที่ตาบอดสีจากกรรมพันธุ์จะคงที่

    ตาบอดสี 3 ชนิด แตกต่างกันอย่างไร

    โรคตาบอดสีนั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ซึ่งวันนี้จะพาทุกท่านไปเช็กกันว่า แต่ละชนิดนั้นมีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

    ตาบอดสีแดง – เขียว (Red-green Color Blindness)

    อาการตาบอดสีแดงและตาบอดสีเขียว มักจะเกิดขึ้นจากผู้ที่มีปัญหาตาบอดสีโดยกำเนิดเป็นส่วนใหญ่ และพบบ่อยสุด โดยผู้ป่วยจะแยกสีแดงและสีเขียวออกจากกันยาก ซึ่งมีรูปแบบอาการในลักษณะดังนี้

    • ผู้ป่วยที่มี Cone cell สีแดงน้อย จะทำให้มองเห็นโทนแดงเพี้ยนเป็น สีเหลือง ส้ม หรืออาจจะกลายเป็นสีเขียว แต่สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มี Cone cell สีแดง ก็จะมองเห็นสีแดงเป็นโทนสีดำนั่นเอง
    • ผู้ป่วยที่มี Cone cell สีเขียวน้อย จะมองสลับเห็นโทนสีเขียวกลายเป็นสีแดง และถ้าไม่มี Cone cell นี้เลย จะทำให้มองเห็นสีเขียวเป็นสีดำ

    ตาบอดสีน้ำเงิน – เหลือง (Blue-yellow Color Blindness)

    ผู้ป่วยจะแยกระหว่างสีน้ำเงินกับสีเขียว และ สีเหลืองกับสีแดงค่อนข้างยาก เป็นประเภทตาบอดสีที่พบน้อยกว่าแบบแรก โดยตาบอดสีน้ำเงินและเหลืองส่วนใหญ่จะมีอาการ คือ

    • ผู้ป่วยที่มี Cone cell สีน้ำเงินน้อย จะทำให้มีปัญหาด้านการแยกระหว่างสีน้ำเงินกับสีเขียว และสีแดงจากสีม่วง
    • ผู้ป่วยที่ไม่มี Cone cell สีน้ำเงิน จะไม่ได้มองเห็นเป็นโทนสีดำ แต่จะเห็นวัตถุสีน้ำเงิน เป็นโทนสีเขียว สีม่วงเป็นโทนสีแดง

    ตาบอดสีทั้งหมด (Complete Color Blindness)

    เป็นภาวะตาบอดสีที่พบได้น้อย ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกภาวะนี้ว่า Monochrome คือภาวะตาบอดสีที่มีความผิดปกติของเซลล์รูปกรวย (Cone cell) ทั้งหมดในจอประสาทตาไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้สีที่ผู้ป่วยเห็นจะกลายเป็นโทนสีเทาทั้งหมด และในผู้ป่วยบางรายอาจมีปัญหาเห็นสีสลับกัน ความไวต่อแสงลดลงอีกด้วย

    ตาบอดสี ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง

    มีข้อจำกัดและเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น

    • ปัญหาด้านการเรียน ในผู้ที่เป็นตาบอดสี มีผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ การเรียนศิลปะ และยังมีผลต่อการวางแผนการเรียนและการประกอบอาชีพในอนาคต
    • การขับขี่รถยนต์ จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถ เนื่องจากจะต้องสังเกตความแตกต่างของสัญญาณไฟจราจร รวมถึงการมองไฟท้ายรถยนต์ ในบางประเทศไม่สามารถออกใบขับขี่ให้ผู้ที่มีตาบอดสีได้ แต่ในประเทศไทยยังขับรถส่วนบุคคลได้ แต่ห้ามในผู้ที่ต้องขับขี่รถสาธารณะ
    • การประกอบอาชีพ ในอาชีพบางประเภทเรื่องสีเป็นสิ่งสำคัญมาก จึงทำให้โรคนี้เป็นอุปสรรคสำหรับในหลายอาชีพ เช่น จิตรกร ดีไซเนอร์ กราฟิกดีไซน์ เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมผ้าและสิ่งทอ นักดับเพลิง นักบิน ทหาร ตำรวจ ผู้บังคับจราจรทางอากาศ วิศวกรไฟฟ้า พยาธิแพทย์ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาล เภสัชกร เป็นต้น

    ตาบอดสี มีวิธีทดสอบดังนี้

    ผู้ที่ต้องการเช็กภาวะตาบอดสีสามารถตรวจภาวะตาบอดสี ได้ที่ Inz Hospital หรือทดสอบเบื้องต้นด้วยตนเองผ่านแผ่นทดสอบสายตาบอดสีอิชิฮารา และแบบทดสอบตาบอดสีเคมบริดจ์

    แบบทดสอบสายตาบอดสี
    ขอบคุณรูปภาพจาก : www.color-blindness.com

    วัดตาบอดสีสำหรับผู้ที่มีสายตาปกติ
    และผู้มีโรคตาบอดสี จะมองเห็นเป็นเลข 12

    แบบทดสอบตาบอดสี
    ขอบคุณรูปภาพจาก : www.color-blindness.com

    ผู้ที่มีสายตาปกติจะมองเห็นเลข 29
    ผู้ป่วยตาบอดสีแดงและเขียว จะมองเห็นเลขเจ็ด 70
    และผู้ป่วยที่ตาบอดสีทั้งหมดจะมองไม่เห็นเลขใด ๆ

    ทดสอบสายตาบอดสี
    ขอบคุณรูปภาพจาก : www.color-blindness.com

    ผู้ที่สายตาปกติจะมองเห็นเลข 3
    ผู้ป่วยที่ตาบอดสีแดงและเขียวจะมองเห็นเลข 5
    และผู้ป่วยที่ตาบอดสีทั้งหมดจะมองไม่เห็นเลขใด ๆ

    ทดสอบ ตาบอดสี
    ขอบคุณรูปภาพจาก : www.color-blindness.com

    ผู้ที่มีสายตาปกติจะมองเห็นเลข 74
    ผู้ป่วยที่ตาบอดสีแดงและเขียวจะมองเห็นเลข 21
    และผู้ป่วยที่ตาบอดสีทั้งหมดจะมองไม่เห็นเลขใด ๆ

    เทสตาบอดสี
    ขอบคุณรูปภาพจาก : www.color-blindness.com

    ผู้ที่มีสายตาปกติจะมองเห็นเลข 73
    และผู้ที่ตาบอดสีจะอ่านแบบทดสอบนี้ไม่ได้

    เทสตาบอดสี
    ขอบคุณรูปภาพจาก : www.color-blindness.com

    ผู้ที่มีสายตาปกติจะลากเส้นจาก X ไป X ได้
    ผู้ตาบอดสีแดงและเขียวจะลากเส้นจาก X ไป X ตามเส้นสีม่วง ต่อกับสีเขียว
    ผู้ที่ตาบอดสีทั้งหมดจะลากเส้นจาก X ไป X ไม่ได้

    การตรวจวินิจฉัยตาบอดสีโดยแพทย์

    สำหรับการวินิจฉัยโรคตาบอดสี สามารถทำได้โดย

    • ตรวจคัดกรองโดยใช้แผ่นทดสอบอิชิฮารา (Ishihara chart )โดยให้อ่านตัวเลข หรือการทดสอบด้วยการลากเส้นภาพ เพื่อตรวจดูว่ามีภาวะตาบอดสีหรือไม่
    • การทำ Color Matching โดยใช้เครื่อง Anomaloscope  เป็นเครื่องมือที่ใช้แยกสีออกเป็นสีต่าง ๆ เช่นถ้าเรากำหนดสีเหลือง ผู้ป่วยต้องพยายามผสมสีแดง และสีเขียว ให้ได้เป็นสีเหลือง ถ้ามีภาวะบอดสีแดง ผู้ป่วยก็จะใช้สีแดงมากขึ้นเมื่อเทียบกับคนปกติ ใช้ตรวจแค่ในคนที่มีภาวะตาบอดสี แดง เขียวเท่านั้น
    • การทดสอบด้วย Farnsworth Munsell อุปกรณ์ทดสอบในการเรียงสี เพื่อตรวจวัดระดับความรุนแรงของโรคตาบอดสี ใช้แยกผู้ที่มีการเห็นสีปกติ และผู้ที่มีภาวะพร่องสีน้อย ๆ ออกจากผู้ที่มีภาวะบอดสีปานกลางถึงรุนแรง
    • การตรวจวินิจฉัยตาบอดสี เริ่มด้วยการคัดกรองว่ามีตาบอดสีหรือไม่ ต่อมาคือตรวจว่ามีตาบอดสีอะไร แล้วตามด้วยการดูว่ามีความรุนแรงระดับไหน ถ้ารุนแรงน้อยอาจถือว่าอยู่ในกลุ่มค่อนข้างปกติ ไม่มีปัญหาในการประกอบอาชีพ  แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มปานกลางถึงรุนแรงมาก จะเป็นข้อจำกัดในบางอาชีพได้

    ตาบอดสีสามารถรักษาได้หรือไม่ 

    ถึงแม้ภาวะตาบอดสีแต่กำเนิด ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ยังมีเครื่องมือที่ใช้ช่วยผู้ป่วย ที่มีภาวะตาบอดสี ให้สามารถรับรู้สีได้ดีขึ้นได้ เช่น

    • การรักษาด้วยแว่นตาและคอนแทคเลนส์พิเศษ โดยเป็นการผลิตขึ้นมาเพื่อให้มองเห็นสีได้ชัดเจน ต่างจากแว่นและคอนแทคเลนส์ทั่วไป
    • นวัตกรรมอุปกรณ์ช่วยในการมองเห็น แอปพลิเคชั่น บนโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตที่ช่วยให้ ชีวิตของคนที่เป็นโรคตาบอดสี สามารถเข้าใจสีได้ง่ายมากขึ้น

    ตาบอดสี มีวิธีการดูแลอย่างไร

    เช็กตาบอดสี

    แม้ผู้ป่วยจะมีภาวะตาบอดสี แต่ก็ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เพียงแค่เพิ่มความระมัดระวัง ในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องอาศัยการแยกสี การตรวจพบภาวะตาบอดสีแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะในครอบครัวที่มี ประวัติมีภาวะตาบอดสี ช่วยในเรื่องวางแผนพัฒนาการการเรียนรู้ วางแผนการเรียน และการประกอบอาชีพ ในอนาคตได้ โดยการ

    • เข้ารับการตรวจสุขภาพตา เพื่อค้นหาความผิดปกติของภาวะตาบอดสี
    • หากไม่สามารถแยกสีได้ ให้ลองจดจำจากความสว่างและความเข้มของสีแทน
    • การติดป้ายชื่อของสีลงในวัตถุ จะช่วยให้จดจำและสามารถแยกสีได้ง่ายขึ้น เช่น เสื้อผ้า ขวดน้ำ เฟอร์นิเจอร์
    • การใช้แอปพลิเคชั่น ตัวช่วยสำหรับเช็กสีและวัตถุต่าง ๆ จะทำให้ผู้ป่วยรับรู้สีได้ดียิ่งขึ้น
    • การใช้ยาบางชนิดอาจมีผลกระทบต่อโรคตาบอดสีที่เป็น ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้

    ตาบอดสีสามารถป้องกันเบื้องต้นได้ด้วยวิธีนี้

    การเกิดโรคตาบอดสีนั้นสามารถเกิดได้ทั้งกรรมพันธุ์ และเกิดขึ้นได้ในภายหลัง ดังนั้นแนวทางการป้องกัน ก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งมีวิธีคือ

    • หากคนในครอบครัวมีประวัติโรคตาบอดสี แนะนำพาเด็กไปตรวจคัดกรองภาวะตาบอดสีตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะวัยก่อนเข้าโรงเรียน เพื่อตรวจสอบ ความสามารถในการแยกแยะสี และหากพบความผิดปกติจะได้เข้ารับการดูแลที่เหมาะสม
    • หลีกเลี่ยงการใช้หรือสูดดมสารเคมีบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย
    • หากเริ่มรับรู้ว่าการ รับรู้สีผิดเพี้ยนไป ควรรีบเข้าพบจักษุแพทย์โดยทันที

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตาบอดสี

    เชื่อว่าหลายคนต้องมีคำถามเกี่ยวกับโรคตาบอดสีอย่างแน่นอน ดังนั้นวันนี้เราจะมาตอบคำถามที่ พบบ่อยมากที่สุดเกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย

    คนตาบอดสีสามารถทำเลสิกได้ไหม อันตรายหรือไม่

    ผู้ป่วยที่มีปัญหาสายตาผิดปกติร่วมกับมีภาวะตาบอดสี สามารถผ่าตัดทำเลสิกได้โดยไม่เป็นอันตราย เพียงแต่จะไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาตาบอดสี

    คนตาบอดสีสามารถขับรถได้ไหม ทำใบขับขี่ได้หรือเปล่า

    ผู้ป่วยโรคตาบอดสีที่มีความรุนแรงระดับที่หนึ่ง หรือระดับน้อยที่สุด สามารถทดสอบตาบอดสี ใบขับขี่ และยังสามารถขับขี่รถส่วนบุคคลได้ปกติ เว้นแต่ผู้ที่มีตาบอดสีระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรง อาจไม่สามารถขับขี่รถได้

    สรุปเกี่ยวกับโรคตาบอดสี

    ถึงแม้ว่าภาวะตาบอดสีจะส่งผลต่อความสามารถในการแยกสี แต่ในเรื่องของวัตถุ รูปร่าง การมองเห็นภาพยังคงเหมือนกับคนปกติทั่วไป เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยการแยกสี ผู้มีความเสี่ยงในภาวะตาบอดสี แนะนำเข้ารับการทดสอบสายตาบอดสี และตรวจวินิจฉัยกับจักษุแพทย์เฉพาะทาง เพราะการทราบผลการตรวจจะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะตาบอดสี สามารถวางแผนการใช้ชีวิต และปรับตัวได้อย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

    เอกสารอ้างอิง

    Ishihara’s Test for Colour Deficiency: 38 Plates Edition. (n.d.).Colblindor.
    https://www.color-blindness.com/ishiharas-test-for-colour-deficiency-38-plates-edition/