ในชีวิตประจำวันเราจำเป็นต้องอ้างอิงสีกับสิ่งที่พบเห็น เพื่อให้สามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง อาการตาบอดสีเป็นอาการของคนที่ไม่สามารถแยกแยะสีได้เหมือนกับคนทั่วไป คนที่มีภาวะตาบอดสีไม่ได้ถือว่าเป็นความผิดปกติและยังสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป แต่ก็ส่งผลต่อการเรียน และพัฒนาการในการเรียนรู้ในเด็ก เป็นข้อจำกัดในเรื่องของการเลือกคณะที่ต้องเรียน รวมถึงการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ก็ยังมีผลต่อการสอบใบขับขี่ ถ้ามีภาวะตาบอดสีรุนแรงจนไม่สามารถบอกความแตกต่างของสัญญาณไฟจราจรได้อย่างถูกต้อง
ถึงแม้ว่าภาวะตาบอดสี ในปัจจุบันจะยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายเป็นปกติได้ แต่ก็มีวิธีช่วยเพื่อให้ผู้ที่มีภาวะตาบอดสีสามารถใช้ชีวิตได้สะดวกยิ่งขึ้น
โรคตาบอดสี Color Blindness คืออะไร
การมองเห็นสี จำเป็นเป็นต้องอาศัยเซลล์รับรู้การเห็นสีที่มีชื่อว่า Photoreceptor ในจอประสาทตา 2 ชนิดเป็นส่วนสำคัญ ในการแยกสี ได้แก่
- Rod cell ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีความไวต่อการรับแสงแบบสลัว ใช้สำหรับการมองเห็นในตอนกลางคืน สีที่มองเห็นจะเป็นโทนสีขาว ดำเท่านั้น
- อีกชนิดคือ Cone cell เป็นเซลล์ที่มีความไวในการรับแสงที่สว่าง เป็นเซลล์ที่แยกแสงสีได้อย่างชัดเจน โดย Cone cell แบ่งย่อยได้เป็น 3 ชนิด คือ ชนิดที่ไวต่อแสงสีแดง เขียว และน้ำเงิน ในคนปกติจะมีครบทั้ง 3 ชนิด ทำให้สามารถมองเห็นสีได้หลายโทนสี
ตาบอดสี (Color Blindness) คือภาวะการมองเห็นสีบกพร่อง แยกแยะสีบางสีได้ยาก หรือการมองเห็นบางสีเพี้ยนไปเป็นสีอื่น โดยตาบอดสีเกิดจากความผิดปกติของ Cone cell ในจอประสาทตา ทำให้ไม่ตอบสนองอย่างเหมาะสมต่อการแยกแสงสีต่าง ๆ การส่งข้อมูลไปยังสมองเพื่อประมวลผลและแยกแยะสีต่างๆจึงผิดปกติไป
โดยส่วนใหญ่ตาบอดสีเป็นภาวะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งจะเป็นมาแต่กำเนิด มีผลต่อเพศชายมากกว่าเพศหญิง จึงพบได้บ่อยในผู้ชายมากกว่า จากสถิติพบในเพศชาย 8% และในเพศหญิง ประมาณ 0.5-1% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ภาวะตาบอดสีอาจจะเป็นภายหลังได้เช่นกัน
ตาบอดสีมีปัจจัย และเกิดจากสาเหตุใด
โดยสาเหตุที่ทำให้เซลล์การรับรู้สีมีความบกพร่อง และทำให้เกิดภาวะตาบอดสีนั้น เกิดจากปัจจัยเหล่านี้
- ตาบอดสีจากกรรมพันธุ์
พบได้มากที่สุด เป็นภาวะที่เป็นมาแต่กำเนิด ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม X ถ่ายทอดพันธุกรรมแบบ X-linked recessive จากแม่ไปสู่บุตรชาย จึงส่งผลให้เพศชาย จะมีโอกาสพบตาบอดสีได้มากกว่า โดยมักจะพบเป็นตาบอดสีเขียวและแดง
- ตาบอดสีจากโรคเกี่ยวกับดวงตา
พบได้ในโรคทางตา เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม หรือการอักเสบของเส้นประสาทตา ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดตาบอดสีได้ด้วยเช่นเดียวกัน
- โรคทางกายอื่น ๆ
นอกจากโรคทางตาแล้ว โรคเบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน ก็สามารถทำให้เกิดภาวะตาบอดสีได้ รวมทั้งผู้ที่ชราภาพ อายุที่มากขึ้นก็ส่งผลให้เซลล์เกิดความเสื่อมสภาพไปตามวัยที่เพิ่มขึ้นด้วย
- สาเหตุอื่นๆ ได้แก่ การได้รับสารเคมีบางชนิดเป็นเวลานาน เช่นสาร styrene ที่มีในโฟมหรือพลาสติก, ผลข้างเคียงจากยา เช่นยารักษาวัณโรค ยากันชัก, การบาดเจ็บที่
ตาบอดสีมีอาการแบบไหนบ้าง
อาการของโรคตาบอดสีนั้นจะแบ่งระดับความรุนแรงออกเป็น 3 ระดับ โดยเรียงจากน้อยไปมาก โดยอาจจะเป็นแค่บกพร่องในการเห็นสี ไปจนถึงบอดสี ดังนี้
- ระดับที่หนึ่ง รุนแรงน้อยที่สุด มองเห็นสีแตกแตกต่างจากคนทั่วไป ยังบอกได้ว่าเป็นสีอะไร แต่ความสดของสีน้อยลง
- ระดับที่สอง รุนแรงปานกลาง มีปัญหาด้านการแยกสีที่ใกล้เคียงกัน เช่น ไม่สามารถแยกระหว่างสีส้มและสีเหลืองได้
- ระดับที่สาม รุนแรงมากที่สุด มองเห็นสีทุกอย่างเป็นโทนขาวดำ ส่งผลต่อการใช้ชีวิตมาก
โดยภาวะตาบอดสีจากกรรมพันธุ์ อาจจะเป็นแบบ พร่องสีแดงหรือบอดสีแดง พร่องสีเขียวหรือบอดสีเขียว ก็ได้ ส่วนภาวะตาบอดสีที่เกิดภายหลัง มักจะมีความบกพร่องในการเห็นสีน้ำเงิน เหลือง ถ้าเป็นความผิดปกติของจอประสาทตา หรือบกพร่องในการเห็นสีแดง เขียว ถ้าเป็นโรคของเส้นประสาทตา ซึ่งความผิดปกติจะแตกต่างจากชนิดที่เป็นแต่กำเนิด เช่น
- นอกจากเห็นสีผิดปกติไป การมองเห็น และลานสายตามักจะผิดปกติไปด้วย
- การเห็นสีในตาสองข้างไม่เท่ากัน
- ผู้ป่วยสามารถบอกได้เลยว่าเห็นสีผิดปกติไป
- ภาวะตาบอดสีสามารถดีขึ้น หรือแย่ลงได้ ในขณะที่ตาบอดสีจากกรรมพันธุ์จะคงที่
ตาบอดสี 3 ชนิด แตกต่างกันอย่างไร
โรคตาบอดสีนั้นแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ซึ่งวันนี้จะพาทุกท่านไปเช็กกันว่า แต่ละชนิดนั้นมีข้อแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ตาบอดสีแดง – เขียว (Red-green Color Blindness)
อาการตาบอดสีแดงและตาบอดสีเขียว มักจะเกิดขึ้นจากผู้ที่มีปัญหาตาบอดสีโดยกำเนิดเป็นส่วนใหญ่ และพบบ่อยสุด โดยผู้ป่วยจะแยกสีแดงและสีเขียวออกจากกันยาก ซึ่งมีรูปแบบอาการในลักษณะดังนี้
- ผู้ป่วยที่มี Cone cell สีแดงน้อย จะทำให้มองเห็นโทนแดงเพี้ยนเป็น สีเหลือง ส้ม หรืออาจจะกลายเป็นสีเขียว แต่สำหรับผู้ป่วยที่ไม่มี Cone cell สีแดง ก็จะมองเห็นสีแดงเป็นโทนสีดำนั่นเอง
- ผู้ป่วยที่มี Cone cell สีเขียวน้อย จะมองสลับเห็นโทนสีเขียวกลายเป็นสีแดง และถ้าไม่มี Cone cell นี้เลย จะทำให้มองเห็นสีเขียวเป็นสีดำ
ตาบอดสีน้ำเงิน – เหลือง (Blue-yellow Color Blindness)
ผู้ป่วยจะแยกระหว่างสีน้ำเงินกับสีเขียว และ สีเหลืองกับสีแดงค่อนข้างยาก เป็นประเภทตาบอดสีที่พบน้อยกว่าแบบแรก โดยตาบอดสีน้ำเงินและเหลืองส่วนใหญ่จะมีอาการ คือ
- ผู้ป่วยที่มี Cone cell สีน้ำเงินน้อย จะทำให้มีปัญหาด้านการแยกระหว่างสีน้ำเงินกับสีเขียว และสีแดงจากสีม่วง
- ผู้ป่วยที่ไม่มี Cone cell สีน้ำเงิน จะไม่ได้มองเห็นเป็นโทนสีดำ แต่จะเห็นวัตถุสีน้ำเงิน เป็นโทนสีเขียว สีม่วงเป็นโทนสีแดง
ตาบอดสีทั้งหมด (Complete Color Blindness)
เป็นภาวะตาบอดสีที่พบได้น้อย ซึ่งทางการแพทย์จะเรียกภาวะนี้ว่า Monochrome คือภาวะตาบอดสีที่มีความผิดปกติของเซลล์รูปกรวย (Cone cell) ทั้งหมดในจอประสาทตาไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้สีที่ผู้ป่วยเห็นจะกลายเป็นโทนสีเทาทั้งหมด และในผู้ป่วยบางรายอาจมีปัญหาเห็นสีสลับกัน ความไวต่อแสงลดลงอีกด้วย
ตาบอดสี ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง
มีข้อจำกัดและเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็น
- ปัญหาด้านการเรียน ในผู้ที่เป็นตาบอดสี มีผลต่อการพัฒนาการเรียนรู้ การเรียนศิลปะ และยังมีผลต่อการวางแผนการเรียนและการประกอบอาชีพในอนาคต
- การขับขี่รถยนต์ จำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับรถ เนื่องจากจะต้องสังเกตความแตกต่างของสัญญาณไฟจราจร รวมถึงการมองไฟท้ายรถยนต์ ในบางประเทศไม่สามารถออกใบขับขี่ให้ผู้ที่มีตาบอดสีได้ แต่ในประเทศไทยยังขับรถส่วนบุคคลได้ แต่ห้ามในผู้ที่ต้องขับขี่รถสาธารณะ
- การประกอบอาชีพ ในอาชีพบางประเภทเรื่องสีเป็นสิ่งสำคัญมาก จึงทำให้โรคนี้เป็นอุปสรรคสำหรับในหลายอาชีพ เช่น จิตรกร ดีไซเนอร์ กราฟิกดีไซน์ เจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมผ้าและสิ่งทอ นักดับเพลิง นักบิน ทหาร ตำรวจ ผู้บังคับจราจรทางอากาศ วิศวกรไฟฟ้า พยาธิแพทย์ เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาล เภสัชกร เป็นต้น
ตาบอดสี มีวิธีทดสอบดังนี้
ผู้ที่ต้องการเช็กภาวะตาบอดสีสามารถตรวจภาวะตาบอดสี ได้ที่ Inz Hospital หรือทดสอบเบื้องต้นด้วยตนเองผ่านแผ่นทดสอบสายตาบอดสีอิชิฮารา และแบบทดสอบตาบอดสีเคมบริดจ์
วัดตาบอดสีสำหรับผู้ที่มีสายตาปกติ
และผู้มีโรคตาบอดสี จะมองเห็นเป็นเลข 12
ผู้ที่มีสายตาปกติจะมองเห็นเลข 29
ผู้ป่วยตาบอดสีแดงและเขียว จะมองเห็นเลขเจ็ด 70
และผู้ป่วยที่ตาบอดสีทั้งหมดจะมองไม่เห็นเลขใด ๆ
ผู้ที่สายตาปกติจะมองเห็นเลข 3
ผู้ป่วยที่ตาบอดสีแดงและเขียวจะมองเห็นเลข 5
และผู้ป่วยที่ตาบอดสีทั้งหมดจะมองไม่เห็นเลขใด ๆ
ผู้ที่มีสายตาปกติจะมองเห็นเลข 74
ผู้ป่วยที่ตาบอดสีแดงและเขียวจะมองเห็นเลข 21
และผู้ป่วยที่ตาบอดสีทั้งหมดจะมองไม่เห็นเลขใด ๆ
ผู้ที่มีสายตาปกติจะมองเห็นเลข 73
และผู้ที่ตาบอดสีจะอ่านแบบทดสอบนี้ไม่ได้
ผู้ที่มีสายตาปกติจะลากเส้นจาก X ไป X ได้
ผู้ตาบอดสีแดงและเขียวจะลากเส้นจาก X ไป X ตามเส้นสีม่วง ต่อกับสีเขียว
ผู้ที่ตาบอดสีทั้งหมดจะลากเส้นจาก X ไป X ไม่ได้
การตรวจวินิจฉัยตาบอดสีโดยแพทย์
สำหรับการวินิจฉัยโรคตาบอดสี สามารถทำได้โดย
- ตรวจคัดกรองโดยใช้แผ่นทดสอบอิชิฮารา (Ishihara chart )โดยให้อ่านตัวเลข หรือการทดสอบด้วยการลากเส้นภาพ เพื่อตรวจดูว่ามีภาวะตาบอดสีหรือไม่
- การทำ Color Matching โดยใช้เครื่อง Anomaloscope เป็นเครื่องมือที่ใช้แยกสีออกเป็นสีต่าง ๆ เช่นถ้าเรากำหนดสีเหลือง ผู้ป่วยต้องพยายามผสมสีแดง และสีเขียว ให้ได้เป็นสีเหลือง ถ้ามีภาวะบอดสีแดง ผู้ป่วยก็จะใช้สีแดงมากขึ้นเมื่อเทียบกับคนปกติ ใช้ตรวจแค่ในคนที่มีภาวะตาบอดสี แดง เขียวเท่านั้น
- การทดสอบด้วย Farnsworth Munsell อุปกรณ์ทดสอบในการเรียงสี เพื่อตรวจวัดระดับความรุนแรงของโรคตาบอดสี ใช้แยกผู้ที่มีการเห็นสีปกติ และผู้ที่มีภาวะพร่องสีน้อย ๆ ออกจากผู้ที่มีภาวะบอดสีปานกลางถึงรุนแรง
- การตรวจวินิจฉัยตาบอดสี เริ่มด้วยการคัดกรองว่ามีตาบอดสีหรือไม่ ต่อมาคือตรวจว่ามีตาบอดสีอะไร แล้วตามด้วยการดูว่ามีความรุนแรงระดับไหน ถ้ารุนแรงน้อยอาจถือว่าอยู่ในกลุ่มค่อนข้างปกติ ไม่มีปัญหาในการประกอบอาชีพ แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มปานกลางถึงรุนแรงมาก จะเป็นข้อจำกัดในบางอาชีพได้
ตาบอดสีสามารถรักษาได้หรือไม่
ถึงแม้ภาวะตาบอดสีแต่กำเนิด ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็ยังมีเครื่องมือที่ใช้ช่วยผู้ป่วย ที่มีภาวะตาบอดสี ให้สามารถรับรู้สีได้ดีขึ้นได้ เช่น
- การรักษาด้วยแว่นตาและคอนแทคเลนส์พิเศษ โดยเป็นการผลิตขึ้นมาเพื่อให้มองเห็นสีได้ชัดเจน ต่างจากแว่นและคอนแทคเลนส์ทั่วไป
- นวัตกรรมอุปกรณ์ช่วยในการมองเห็น แอปพลิเคชั่น บนโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตที่ช่วยให้ ชีวิตของคนที่เป็นโรคตาบอดสี สามารถเข้าใจสีได้ง่ายมากขึ้น
ตาบอดสี มีวิธีการดูแลอย่างไร
แม้ผู้ป่วยจะมีภาวะตาบอดสี แต่ก็ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ เพียงแค่เพิ่มความระมัดระวัง ในการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องอาศัยการแยกสี การตรวจพบภาวะตาบอดสีแต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะในครอบครัวที่มี ประวัติมีภาวะตาบอดสี ช่วยในเรื่องวางแผนพัฒนาการการเรียนรู้ วางแผนการเรียน และการประกอบอาชีพ ในอนาคตได้ โดยการ
- เข้ารับการตรวจสุขภาพตา เพื่อค้นหาความผิดปกติของภาวะตาบอดสี
- หากไม่สามารถแยกสีได้ ให้ลองจดจำจากความสว่างและความเข้มของสีแทน
- การติดป้ายชื่อของสีลงในวัตถุ จะช่วยให้จดจำและสามารถแยกสีได้ง่ายขึ้น เช่น เสื้อผ้า ขวดน้ำ เฟอร์นิเจอร์
- การใช้แอปพลิเคชั่น ตัวช่วยสำหรับเช็กสีและวัตถุต่าง ๆ จะทำให้ผู้ป่วยรับรู้สีได้ดียิ่งขึ้น
- การใช้ยาบางชนิดอาจมีผลกระทบต่อโรคตาบอดสีที่เป็น ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้
ตาบอดสีสามารถป้องกันเบื้องต้นได้ด้วยวิธีนี้
การเกิดโรคตาบอดสีนั้นสามารถเกิดได้ทั้งกรรมพันธุ์ และเกิดขึ้นได้ในภายหลัง ดังนั้นแนวทางการป้องกัน ก็เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งมีวิธีคือ
- หากคนในครอบครัวมีประวัติโรคตาบอดสี แนะนำพาเด็กไปตรวจคัดกรองภาวะตาบอดสีตั้งแต่ยังเล็ก โดยเฉพาะวัยก่อนเข้าโรงเรียน เพื่อตรวจสอบ ความสามารถในการแยกแยะสี และหากพบความผิดปกติจะได้เข้ารับการดูแลที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการใช้หรือสูดดมสารเคมีบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย
- หากเริ่มรับรู้ว่าการ รับรู้สีผิดเพี้ยนไป ควรรีบเข้าพบจักษุแพทย์โดยทันที
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตาบอดสี
เชื่อว่าหลายคนต้องมีคำถามเกี่ยวกับโรคตาบอดสีอย่างแน่นอน ดังนั้นวันนี้เราจะมาตอบคำถามที่ พบบ่อยมากที่สุดเกี่ยวกับโรคนี้ ซึ่งประกอบไปด้วย
คนตาบอดสีสามารถทำเลสิกได้ไหม อันตรายหรือไม่
ผู้ป่วยที่มีปัญหาสายตาผิดปกติร่วมกับมีภาวะตาบอดสี สามารถผ่าตัดทำเลสิกได้โดยไม่เป็นอันตราย เพียงแต่จะไม่ได้ช่วยแก้ไขปัญหาตาบอดสี
คนตาบอดสีสามารถขับรถได้ไหม ทำใบขับขี่ได้หรือเปล่า
ผู้ป่วยโรคตาบอดสีที่มีความรุนแรงระดับที่หนึ่ง หรือระดับน้อยที่สุด สามารถทดสอบตาบอดสี ใบขับขี่ และยังสามารถขับขี่รถส่วนบุคคลได้ปกติ เว้นแต่ผู้ที่มีตาบอดสีระดับปานกลางไปจนถึงรุนแรง อาจไม่สามารถขับขี่รถได้
สรุปเกี่ยวกับโรคตาบอดสี
ถึงแม้ว่าภาวะตาบอดสีจะส่งผลต่อความสามารถในการแยกสี แต่ในเรื่องของวัตถุ รูปร่าง การมองเห็นภาพยังคงเหมือนกับคนปกติทั่วไป เพียงแต่ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยการแยกสี ผู้มีความเสี่ยงในภาวะตาบอดสี แนะนำเข้ารับการทดสอบสายตาบอดสี และตรวจวินิจฉัยกับจักษุแพทย์เฉพาะทาง เพราะการทราบผลการตรวจจะช่วยให้ผู้ที่มีภาวะตาบอดสี สามารถวางแผนการใช้ชีวิต และปรับตัวได้อย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้
เอกสารอ้างอิง
Ishihara’s Test for Colour Deficiency: 38 Plates Edition. (n.d.).Colblindor.
https://www.color-blindness.com/ishiharas-test-for-colour-deficiency-38-plates-edition/