จอประสาทตาเสื่อม โรคตาที่เป็นภัยต่อการมองเห็น และการดำเนินชีวิต

จอประสาทตาเสื่อม (จุดรับภาพเสื่อม) โรคตาที่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต มาทำความรู้จัก เข้าใจสาเหตุ และอาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม (จุดรับภาพเสื่อม) เพื่อที่จะสามารถดูแลรักษาได้ในทันที ชะลอการพัฒนาความรุนแรง เนื่องจากยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด

สารบัญบทความ

    โรคจอประสาทตาเสื่อม คืออะไร

    จอประสาทตาเสื่อม (จุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม – Macular Degeneration) เป็นโรคตาที่เกิดจากความเสื่อมของจุดรับภาพซึ่งอยู่ตรงศูนย์กลางของจอประสาทตา ทำให้ภาพที่เรามองเห็นมีจุดดำ หรือมีพื้นที่สีดำ กินเป็นวงบริเวณกึ่งกลางของภาพที่เห็น ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อม (จุดรับภาพเสื่อม) มักมาจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น จึงจะพบมากในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ดังนั้นจึงอาจเรียก โรคจอประสาทตาเสื่อมว่า โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมจากอายุ (Age-Related Macular Degeneration : AMD)

    ประเภทของจอประสาทตาเสื่อม

    ประเภทของจอตาเสื่อม
    ขอบคุณรูปภาพจาก : oliviaread.co.za

    จอประสาทตาเสื่อมสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง

    เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ประเภทที่พบได้มากที่สุด โดยคิดเป็น 80% ของผู้ป่วยจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งคาดกันว่าน่าจะเกิดจากพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม ทำให้เซลล์รับแสงในจอประสาทตาค่อย ๆ ถูกทำลายลงอย่างช้า ๆ จนผู้ป่วยค่อย ๆ สูญเสียการมองเห็นตรงกลางภาพไป ปกติแล้วจะเกิดขึ้นกับดวงตาทีละข้าง อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง ยังคงเป็นอายุที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้เซลล์ในจอประสาทตาส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมองเห็นเสื่อมสภาพลง

    จอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก

    แม้ว่า จอประสาทตาเสื่อมแบบเปียกจะเป็นประเภทที่พบได้น้อยกว่าจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง แต่กลับเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นมากกว่า โดยจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียกเกิดจากการที่เส้นเลือดเจริญเติบโตผิดปกติข้างใต้จอประสาทตา ทำให้เลือดและของเหลวไหลซึมออกมา จึงเป็นที่มาของชื่อจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ซึ่งจอประสาทตาเสื่อมแบบนี้จะทำให้เกิดจุดดำตรงจุดกึ่งกลางของการมองเห็นที่มีขนาดใหญ่กว่าหรือกินพื้นที่ตรงกลางเป็นวงกว้างกว่า

    ลักษณะอาการของจอประสาทตาเสื่อม

    อาการจอประสาทตาเสื่อมจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล แต่โดยมากจอตาเสื่อม อาการมีดังนี้

    • มองเห็นภาพไม่ชัด ตาพร่ามัว โดยอาจเห็นเป็นภาพเบลอ ๆ หรือภาพที่มีความมัว
    • มองเห็นภาพมีความบิดเบี้ยว โดยจะมองเห็นเส้นตรงเป็นเส้นโค้งหรือมีลักษณะคล้ายคลื่น
    • มองเห็นสีผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง
    • มองเห็นจุดดำหรือพื้นที่สีดำกินเป็นวงบริเวณกึ่งกลางของภาพที่เห็น
    • มองเห็นไม่ชัดในที่ที่มีแสงสว่าง อาจมีอาการตาแพ้แสงร่วมด้วย
    • เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะผู้ที่จอประสาทตาเสื่อมจะสูญเสียการมองเห็นบริเวณกึ่งกลางของภาพ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถ การอ่านหนังสือ การจดจำใบหน้าคน และการทำงานที่ต้องใช้สายตามองโดยละเอียด

    สาเหตุของจอประสาทตาเสื่อม

    จอตาเสื่อม เกิดจากอะไร

    จอประสาทตาเสื่อม สาเหตุจากอะไร ? จากสถิติพบว่า โรคจอประสาทตาเสื่อมมักพบในคนผิวขาวมากกว่าผิวดำ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในวัยหมดประจำเดือน พบในคนอ้วนมากกว่าคนผอม พบในคนที่สูบบุหรี่มากกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ และมีความสัมพันธ์กับพันธุกรรม

    ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานวิจัยออกมารองรับ แต่บางสถิติก็แสดงถึงความเกี่ยวเนื่องกับปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นให้จอประสาทตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น แม้ว่าสาเหตุหลักจะมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นก็ตาม ซึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นก็มีดังนี้

    • จอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ โดยโรคจอประสาทตาเสื่อมมักพบในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
    • พันธุกรรม กล่าวคือ บุคคลในครอบครัวมีประวัติเคยป่วยเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม
    • เชื้อชาติ กล่าวคือ พบผู้ป่วยโรคจอประสาทตาเสื่อมในชาวตะวันตกหรือคนผิวขาวมากกว่าชาติอื่น ๆ
    • เพศหญิง กล่าวคือ พบผู้ป่วยที่เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 60 ปี หรือผู้หญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน
    • จอตาเสื่อม เกิดจากการมีสายตาสั้นมากๆ
    • ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่มีระดับคอเรสเตอรอลสูง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอ้วน
    • ผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
    • ผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับแสงแดดบ่อย ๆ และได้รับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) มากจนเกินไป

    อาการแทรกซ้อนของจอประสาทตาเสื่อม

    อาการแทรกซ้อนของจอประสาทตาเสื่อม (จุดรับภาพชัดเสื่อม) มักเป็นอาการในเชิงที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น มีความยากลำบากในการอ่านหนังสือ ขับรถหรือการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องมองภาพบริเวณกึ่งกลาง เนื่องจากจอประสาทตาเสื่อม อาการอาจมีมองเห็นภาพไม่ชัด ภาพที่เห็นมีสีเพี้ยน หรือภาพบิดเบี้ยว มีจุดดำตรงกลางภาพ มองในที่มีแสงสว่างมากไม่ชัดได้ เป็นต้น 

    วิธีทดสอบจอประสาทตาเบื้องต้น 

    ตรวจหาอาการจอประสาทตาเสื่อม (จุดรับภาพเสื่อม) เบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตาราง Amsler Grid 

    ตารางทดสอบโรคจอประสาทตาเสื่อม
    Amsler Grid 
    ขอบคุณรูปภาพจาก brightfocus

    ตาราง Amsler Grid เป็นตารางที่มีเส้นเป็นแนวตั้งและแนวนอนวางคาดกันจนเป็นลายตาราง และจะมีจุดกึ่งกลางอยู่บนตาราง โดยจักษุแพทย์จะให้ผู้ป่วยมองไปที่ตาราง หากมองไม่เห็นจุดกึ่งกลาง มองเห็นเส้นบางเส้นไม่ชัด เส้นไม่ตรง เส้นซ้อนกัน บิดเบี้ยว หรือเส้นขาดออกจากกัน แสดงว่ามีอาการจอตาเสื่อม

    การตรวจวินิจฉัยโรคจอประสาทตาเสื่อม

    เมื่อไปพบจักษุแพทย์ การตรวจเพื่อวินิจฉัยว่าเป็นจอประสาทตาเสื่อมจะมีหลากหลายขั้นตอนและหลากหลายวิธี นอกจากการตรวจโรคจอประสาทตาเสื่อมด้วยตาราง Amsler Grid ข้างต้นแล้ว ยังมีวิธี และขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้

    ตรวจวัดสายตาทั่วไป 

    ทำการตรวจวัดสายตาเพื่อดูสภาพภายนอกของดวงตา ตรวจหาภาวะสายตายาว สายตาสั้น สายตาเอียง และมีการขยายม่านตาเพื่อดูความผิดปกติในจอประสาทตา

    ตรวจตาด้วยเครื่อง Optical Coherence Tomography (OCT)

    ก่อนเข้ารับการตรวจตาด้วยวิธีนี้ จะต้องมีการหยอดยาเพื่อขยายม่านตา จากนั้นจึงตรวจตาด้วยเครื่อง Optical Coherence Tomography (OCT) เพื่อดูลักษณะและวัดความหนาของจอประสาทตา ตรวจหาการบวมน้ำหรือเลือดออกใต้จอประสาทตา

    ถ่ายภาพจอประสาทตาร่วมกับฉีดสารเรืองแสงฟลูออเรสซีน (FFA)

    ถ่ายภาพจอประสาทตาด้วยกล้อง Fundus Camera ร่วมกับใช้การฉีดสีหรือสารทึบแสงเข้าไปทางหลอดเลือด ปล่อยให้สีวิ่งเข้าสู่เส้นเลือดที่ดวงตา จากนั้นทำการถ่ายภาพ โดยภาพที่ถ่ายออกมาจะมองเห็นเส้นเลือดและการไหลเวียนของเลือดภายในจอประสาทตา ทำให้เห็นจุดผิดปกติที่เลือดมีการรั่วออกมา

    วิธีรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม

    วิธีการรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อม

    โรคจอประสาทตาเสื่อม รักษาอย่างไร ? จอประสาทตาเสื่อม วิธีรักษาสามารถแบ่งออกเป็นวิธีรักษาชนิดแห้ง และวิธีรักษาชนิดเปียก แล้วสองวิธีนี้ แตกต่างกันอย่างไร ?

    การรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดแห้ง

    สำหรับการรักษาจอประสาทตาเสื่อมแบบแห้ง ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด ทำได้เพียงใช้วิธีดูแลและรักษาดวงตา หรือทานอาหารเสริมประเภท Antioxidant and Mineral Supplementation ตามที่จักษุแพทย์แนะนำ เพื่อป้องกันไม่ให้จอประสาทตาเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหรือลุกลามจนกลายเป็นจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก

    การรักษาจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก

    ในส่วนของวิธีรักษาจอประสาทตาเสื่อมแบบเปียก ยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดเช่นเดียวกัน แต่ยังมีวิธีที่จะช่วยยับยั้งและชะลออาการของโรคจอประสาทตาเสื่อม ไม่ให้ลุกลามและรุนแรงมากกว่าเดิม ดังนี้

    • เลเซอร์

    จักษุแพทย์จะทำการยิงเลเซอร์แบบที่ทำให้เกิดความร้อนเข้าไปในจอประสาทตา เพื่อทำลายหรือยับยั้งเส้นเลือดที่เจริญเติบโตผิดปกติ ซึ่งการยิงเลเซอร์นี้จะทำให้จอประสาทตาบางส่วนถูกทำลายไปด้วย ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นในบริเวณนั้นทันที ดังนั้น วิธีนี้จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการจอประสาทตาเสื่อมบริเวณจุดศูนย์กลางของจอประสาทตา เพราะจะทำให้สูญเสียการมองเห็นบริเวณกึ่งกลางของภาพ แต่วิธีนี้จะใช้ได้กับผู้ป่วยซึ่งมีรอยโรคเกิดขึ้นห่างจากจุดศูนย์กลางของจอประสาทตามากพอสมควร ทั้งนี้ วิธีรักษาจอประสาทตาเสื่อม ยังคงขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์เป็นสำคัญ

    • เลเซอร์ร่วมกับการให้ยาทางเส้นเลือด (Photodynamic Therapy : PDT)

    ขั้นตอนแรก จะต้องทำการฉีดยา Verteporfin เข้าทางเส้นเลือด จากนั้นยาจะไหลเวียนไปยังเส้นเลือดที่เจริญเติบโตผิดปกติ และจับตัวกับผนังเส้นเลือดนั้น ต่อมา จักษุแพทย์จะทำการยิงเลเซอร์แบบที่ไม่ทำให้เกิดความร้อนเข้าไปในจอประสาทตา เพื่อกระตุ้นให้ยา Verteporfin ออกฤทธิ์ทำลายเส้นเลือดที่เจริญเติบโตผิดปกติ ซึ่งวิธีนี้จะใช้แสงเลเซอร์ที่มีพลังงานต่ำ จึงไม่ทำให้จอประสาทตาถูกทำลายไปด้วย และไม่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียการมองเห็นทันที หรือสูญเสียน้อยกว่าวิธีแรก

    • ฉีดยาเข้าไปในน้ำวุ้นตา (Anti-Vascular Endothelial Growth Factor : Anti-VEGF)

    การฉีดยา  Anti-VEGF จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเส้นเลือด รวมถึงลดโอกาสในการเกิดเส้นเลือดที่ผิดปกติขึ้นใหม่ในจอประสาทตา เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน

    นอกเหนือจากวิธีข้างต้น การรักษาโรคตอประสาทตาเสื่อม อาจทำได้โดยการผ่าตัดจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งแนวทางการรักษาจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ต่อไป

    การป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม

    แม้ว่าจะไม่มีวิธีการป้องกันจอประสาทตาเสื่อม แต่หลังจากที่ทราบถึงปัจจัยในการก่อให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมแล้ว ก็จะพบว่ามีวิธีที่ช่วยชะลอและลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยอันควรได้ ดังนี้

    • หมั่นตรวจสุขภาพตาเป็นประจำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน และผู้ที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวเคยเป็นจอประสาทตาเสื่อม
    • ดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ไม่ให้มีโรคต่าง ๆ  โดยเฉพาะหากป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือมีระดับคอเลสเตอรอลสูง ก็ต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอและไปพบแพทย์ตามนัด
    • งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    • หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดมากเกินไป หรือสวมแว่นกันแดดเพื่อปกป้องดวงตาจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV)
    • ทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักใบเขียว ผลไม้ ปลา หลีกเลี่ยงอาหารที่มีคอเลสเตอรอลและไขมันสูง หรืออาจจะรับประทานอาหารเสริมหากจักษุแพทย์แนะนำ

    FAQ : คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคจอประสาทตาเสื่อม

    จอประสาทตาเสื่อม ทำให้ตาบอดได้ไหม

    เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ตาบอดได้ไหม ?  สามารถเจอได้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อมชนิดเปียก (wet AMD)  มีโอกาสสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดหรือตาบอดได้ แต่ถือว่าพบได้น้อยมาก

    โดยทั่วไปการเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ผู้ป่วยอาจจะสูญเสียการมองเห็นบริเวณกึ่งกลาง แต่ก็ยังสามารถมองเห็นภาพบางส่วนด้านข้างได้ 

    จอประสาทตาเสื่อม กินอะไรดี

    ผู้ที่เป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม สามารถรับประทานวิตามินจำพวกสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี เบต้าแคโรทีน อาหารเสริมที่มี Lutein หรือ Zeaxanthin เนื่องจากสารต้านอนุมูลอิสระมีส่วนช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตาได้

    จอประสาทตาเสื่อม เกิดในคนอายุน้อยได้ไหม

    เกิดในคนอายุน้อยได้ไหม ? จอประสาทตาเสื่อม อายุน้อย สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ส่วนใหญ่เกิดจากอายุที่มากขึ้น ถ้าพบในคนอายุน้อย อาจสัมพันธ์ กับพันธุกรรม หรือมีปัจจัยอื่น ๆเป็นตัวกระตุ้น ที่ทำให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมก่อนวัยอันควร เช่น มีพฤติกรรมสูบบุหรี่ ดื่มสุรา เผชิญกับแสงแดดหรือรังสียูวีเป็นประจำ น้ำหนักเกินมาตราฐาน โรคประจำตัวเช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง

    สรุปจอประสาทตาเสื่อม

    ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันและรักษาโรคจอประสาทตาเสื่อมแบบที่ได้ผล 100% แต่ก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดจอประสาทตาเสื่อมได้ ประกอบกับการหมั่นดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ สิ่งที่สำคัญคือ หากพบว่าเริ่มมีการมองเห็นที่ผิดปกติ ไม่ว่าจะเห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นภาพมีสีผิดเพี้ยน หรือเห็นจุดดำบริเวณกึ่งกลางภาพ ควรรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรักษาทันที เพราะการเป็นจอประสาทตาเสื่อมสามารถทำให้สูญเสียการมองเห็นบริเวณกึ่งกลางภาพ ที่จะสร้างความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวันได้

    เอกสารอ้างอิง

    Kierstan Boyd. What Is Macular Degeneration?. (2023 November, 13). AMERICAN ACADEMY OF OPHTHALMOLOGY.
    https://www.aao.org/eye-health/diseases/amd-macular-degeneration